วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 38



Queen Seon Deok ( 善德女王/ 선덕여왕)
เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 38
Cr. : Dailynews Online


คุณชายชุนชูเอาหนังสือของพีดัมมาพับเล่นเป็นลูกเต๋า เมื่อพีดัมมาเห็นเข้าก็โกรธ จึงตีเขาอย่างหนัก โดยไม่รู้ว่าฐานะที่แท้จริงของชุนชูเป็นใคร ระหว่างนั้นยอจงเข้ามาห้ามได้ทันพอดี เขาจึงได้รู้ว่า คุณชายคิมชุนชู เป็นลูกชายขององค์หญิงชอนมยอง

“เชื้อพระวงศ์เสียสติเนี่ยนะ”

“เสียสติหรือเปล่าข้าไม่รู้ แต่เป็นเชื้อ พระวงศ์ล่ะแน่นอน ถ้าไม่เพราะปู่ของเขาคือพระเจ้าจินจิถูกถอดถอน ป่านนี้อาจเป็นรัชทายาท ก็ได้ เฮ่อ ๆๆ” ยอจง กล่าว

“ฮึ่ม....แล้วยังไง แปลว่าเจ้าหนุ่มเพี้ยนคนนี้สั่งให้ท่านไปฆ่าอาจารย์ข้าแล้วชิงเอาแผนที่มางั้นหรือ จะให้ข้าเชื่อหรือเปล่า”

“ไม่ใช่ เข้าใจผิด ข้าเอาไปให้เขาอ่านเอง แต่เขาไม่รู้อะไรเลย หึ....”

“เพราะอะไร” พีดัม ถาม

“เพราะความคิดข้าไม่ตรงกับอาจารย์เจ้า ข้าคิดว่าเจ้าของหนังสือนี่ไม่ควรเป็นท่านยูซิน แต่เป็นเขาจะดีกว่า”

“เฮ่อ....”

“เอ่อ....คือ....ข้าไม่ได้ขี้เกียจนะ เพียงแต่ของีบหน่อย แล้วค่อยทำงานต่อไป ก็เท่านั้น” ชุนชู กล่าว

“คุณชายครับ ต้องขออภัยด้วย”

“หึ....นี่....”

“หือ....เรียกเขาว่าคุณชาย ไม่ใช่นี่....”

“อยากตายมั้ย....นี่....พวกนี้ทำไมไม่เรียง ตามลำดับแต่ละหน้าล่ะ” พีดัม กล่าว

“แต่....ข้าว่า....มันก็เรียงอยู่ ไม่ผิดซักหน่อย”

“เจ้า....จำลำดับของมันได้หรือ”

“อึม....ใช่”

“ว้าย....นี่....จะทำอะไรอีก ยังจะฆ่าข้าหรือ ฮือ....”

“ในเมื่อได้หนังสือมาแล้ว ถ้าฆ่าท่านอีกคน ก็คงหมดเรื่อง” พีดัม กล่าว

“เอ่อ....แหะๆ ล้อเล่น ทำแบบนี้ได้ไงน่ะบ้าหรือ เฮ่อ ๆ ๆ”

“ห้ามหัวเราะนะ”

“เจ้าล้อเล่นใช่ไหม เฮ่อ ๆๆ”

“หน้าเจ้าเล่ห์ของท่าน ข้าหมั่นไส้มาตั้งแต่แรกเห็นแล้ว....อยากรู้ว่าถ้าตัดหัวท่านออกมาซะ ยังจะหัวเราะได้ไหม ฮึ่ม....”

“เฮ้ย....อย่า ๆๆ อย่าเพิ่งลงมือ เจ้า.... เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก เพราะว่า เรา....เราเป็นฆาตกร ทั้งคู่ จริงมั้ย”

“ฆาตกรหรือ”

“ท่านมุนโนผู้ยิ่งใหญ่ จะตายเพราะเข็มพิษเล็ก ๆ เล่มเดียวได้ยังไง จริงมั้ย ฮ่า ๆๆ....ไม่มีทางอยู่แล้ว แต่เพราะตอนนั้นเขามัวพะวงอยู่กับการจู่โจมของศิษย์รักอย่างเจ้า เลยไม่ทันระวังถูกเข็มพิษเข้าอย่างจัง จริงมั้ยล่ะ หรือจะเถียง...”

“เจ้าคนสารเลว”

“เอาซี่ ใช่ ข้ามันเลว จะฆ่าก็เชิญลงมือ เมื่อข้าตายแล้ว เจ้าจะได้ฆ่าตัวตายตาม เพราะเราต่างก็เป็นฆาตกรที่ฆ่ามุนโนทั้งคู่ จริงมั้ย เฮ่อ ๆ ๆ หึ...หรือไม่งั้น ก็ปล่อยให้ข้ารอดซะ เจ้าก็อยู่ต่อด้วย ดีมั้ยล่ะ....โอ๊ย....” ยอจง กล่าว ทำให้เขาถูกพีดัมเตะ

“อ๊าก....หึ....ท่านลองพูดเหตุผลซัก 3 ข้อ หึ....ให้ข้าไว้ชีวิตท่านหน่อยซิ หึ....”

“เจ้าต่างหากที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง หา.... นึกว่าแผนที่สามแคว้นเป็นของอาจารย์เจ้าหรือ ไม่ใช่ เป็นของข้ากับมุนโนร่วมกันต่างหาก หึ.... เขาพเนจรอยู่ข้างนอก 20 ปี เอารายได้ที่ไหนเลี้ยงตัวเอง ถ้าไม่ใช่มาจากข้า ที่สำคัญมุนโนเคยเดินทางไปโกคูรยอ แพ่กเจ เมืองสุยคนเดียวซะเมื่อไหร่ ถ้าไม่ได้ลูกน้องข้าคอยวิ่งเต้น เสาะหาข้อมูลให้เขาเขียนหนังสือจะออกมา เป็นรูปเล่มได้หรือ แล้วอย่างงี้ จะบอกว่าเป็นสมบัติส่วนตัวของเขาได้ไง หา....นั่นเป็นของข้าด้วย”

“หึ....แล้วไงอีก”

“แล้วจู่ ๆ เขาบอกว่าจะมอบหนังสือให้คนชื่อคิมยูซินอะไรนั่น ข้าไม่รู้จักซักหน่อยแล้วจะยอมได้ไงล่ะ”

“แล้วยังไง มีอะไรอีก พูดมาซิ”

“หึ....ข้าน่ะ มีคนที่เป็นสายลับอยู่มากมาย ถ้าข้าตายไป พวกเขาก็เท่ากับถูกตัดขาด เหมือนว่าวที่หลุดลอยไป ถ้าให้ดี ข้าช่วยเจ้าต่อติดเอามั้ยล่ะ หือ....”

“เพื่ออะไร”

“ถามได้ ท้ายที่สุดแล้ว เราจะช่วยกันส่งเสริมให้ใครซักคนเป็นพระราชา คนอย่างเจ้านอกจากเป็นผู้ช่วยคนอื่นแล้วไม่เห็นจะทำอะไรได้ซักอย่าง เจ้าหนุ่มนั่น กล้าหลอกกระทั่งท่านมีซิล แสดงว่าเป็นคนใจกล้าไม่เบาล่ะว่ามั้ย.... เอ่อ....มองอะไร หา....แหะ...เจ้าก็เหมือนกัน เคยคิดว่าหนังสือเป็นของเจ้า แต่จู่ ๆ ไปให้คิมยูซิน เลยโกรธจนต้องสู้กับท่านมุนโนใช่ไหม ถูกมั้ยล่ะ คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจข้า แต่คิดว่าเจ้าต้องเข้าใจ จริงมั้ย หึ ๆๆ”

“ฮึ่ม....ย้าก....”

“โอ๊ย....อ๊าก.... เจ้าคนสารเลว ทำไมทำกับข้าแบบนี้ ฮือ ๆๆ”

“หึ....อีกหน่อยทุกครั้งที่รู้สึกเจ็บแผล ส่องกระจกแล้วเตือนสติตัวเองไว้ให้ดี ถ้าทรยศข้าก็คือตาย หนีก็คือตายเหมือนกัน ที่สำคัญ.... หึ....พระราชาองค์ต่อไปที่เราจะเกื้อหนุน ไม่ใช่หนุ่มคนนั้น”

“ฮือ ๆๆ ฮือ ๆๆ อ๊าก....ฮือ ๆๆ ฮือ ๆๆ”

จากคำพูดของยอจง ทำให้พีดัมไม่เข้าใจว่ามีซิลคิดจะทำอะไรกันแน่

คิมยูซินประกาศเลื่อนตำแหน่งให้องครักษ์ในหน่วยต่าง ๆ โดยองครักษ์แห่งหน่วยยองวา จุปังและซอแจ ให้เลื่อนเป็น “แทนัมโท”....ยางกิดแห่งหน่วยบีชอน....ให้เลื่อนตำแหน่งเป็น “แทโต”....ส่วนแวยา....ให้เลื่อนตำแหน่งเป็น “โซกัม” เป็นผู้ช่วยท่านไอชองในการทำงานต่อไป พร้อมขอให้ทุกคนตระหนักในหน้าที่ปกป้องราชสำนักและเชื้อพระวงศ์ทุกระดับ ที่สำคัญ ให้จัดกำลังถวายอารักขาความปลอดภัยให้ถ้วนทั่ว ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด

ชิซูเป็นห่วงว่า การปรับเปลี่ยนตำแหน่ง องครักษ์ครั้งนี้ของคิมยูซิน จะมีแผนการอื่นแอบแฝง แต่องครักษ์คนสนิทของชิซูก็อาสาที่จะสอดแนมความเป็นไปให้ และชิซูก็อดถามถึงพีดัมไม่ได้ ซึ่งซกพุงก็รายงานว่า ตอนนี้ยังเดาไม่ออกว่าเขาจะทำอะไร เพราะเขายังไม่มีลูกน้องเลยสักคน

ต๊อกมานอดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมชาวบ้านจึงยังมีผลผลิตไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้สักที ทั้งที่ในสมัยพระเจ้าจินฮึงได้ขยายดินแดนไปไม่น้อย ซึ่งยองชุนรายงานว่า ครึ่งหนึ่งของการขยายดินแดนเป็นพื้นที่รกร้าง ไม่อาจใช้เป็นที่เพาะปลูกได้ อีกทั้ง แปลงนาส่วนใหญ่หลังจากผ่านการเพาะปลูกไปหนึ่งปี ปีที่สองก็ไม่อาจให้ผลผลิตได้อีก ต๊อกมานคิดไม่ออกว่าจะมีทางไหนที่จะพลิกฟื้นที่นาบ้าง

ต๊อกมานมาหาใต้ซือวาชอน จนได้รู้ว่า แคว้นชิลลามีความก้าวหน้าในเรื่องการผลิตอาวุธ เพราะในสมัยพระเจ้าจินฮึงนั้น ทรงให้การสนับสนุนวิทยาการด้านโลหะ จนวันนี้ยังนำหน้าแคว้นอื่นอยู่

“แล้วเหล็กที่ผลิตเครื่องมือเกษตรกับผลิตอาวุธต่างกันหรือเปล่า” ต๊อกมาน ถาม

“ต่างกันอย่างมาก เหล็กที่ใช้ผลิตเครื่องมือเกษตรยังถือว่าด้อยคุณภาพ ทำให้แม้แต่จอบเสียมก็ยังไม่ทนทาน”

ต๊อกมานบอกให้คิมยูซินรู้ว่า นางคิดที่จะนำอาวุธมาหลอมละลาย ทำเป็นเครื่องมือการเกษตร แต่คิมยูซินคงไม่เห็นด้วยแน่ ซึ่งคิมยูซิน ก็ไม่เห็นด้วยอย่างที่ต๊อกมานคิดไว้จริง ๆ เขาคิดว่า ต้องหาวิธีผลิตเครื่องมือเกษตร โดยไม่กระทบถึงการผลิตอาวุธ พร้อมกับขอตัวลาไปฝึกกระบี่ให้คุณชายชุนชูต่อ

จุปัง โกโต กุกซอน และแทพุง หนีการฝึกซ้อมไปเที่ยวในตลาดกัน ทำให้เห็นว่าชาวบ้านกำลังประสบปัญหาปากท้อง เนื่องจากสินค้ามีราคาแพงขึ้น พ่อค้าก็ไม่ยอมที่จะแบ่งขายให้ชาวบ้านง่าย ๆ จนชาวบ้านคนนึงโมโห และฆ่าพ่อค้าข้าวจนตายต่อหน้าต่อตา แต่ก็ไม่มีใครอยากเข้าไปยุ่ง เพราะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แต่จุปังและโกโตกลับรีบมาตามยูซินให้ไปที่ตลาดโดยด่วน

“เกิดอะไรขึ้นนี่”

“เขาจับเด็กเป็นตัวประกัน กำลังอาละวาดอยู่” โพจอง กล่าว

“ไม่งั้นเด็กจะตายก่อน ได้ยินมั้ย ฮือ ๆๆ อย่าเข้ามานะ ฮือ ๆ ๆ ข้าลงมือจริง ๆ อย่าเข้ามาล่ะ ข้าไม่เกรงใจด้วย อย่ามายุ่งกับข้านะ ฮือ....วันนี้เป็นไงก็เป็นกัน ฮือ....ไหน ๆ ก็ต้องตายอยู่แล้ว เรามาตายพร้อมกันก็ได้ ข้าไม่กลัวหรอก ฮือ....เมื่อไม่มีข้าวให้กิน ข้าก็ต้องอดตายอยู่แล้ว งั้นสู้มาตายที่นี่ดีกว่า อย่าเข้ามานะ ใครก็อย่ามาจับข้า ไม่งั้นเด็กจะตายก่อน....โอ๊ะ....โอ๊ย อย่านะ ทำอะไร ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ปล่อยซี่ มาจับข้าทำไม โอย....ฮือ....” ชายอ้วน ถูกจับได้ในที่สุด

คิมยูซินนำเหตุการณ์ที่ตลาดมาเล่าให้ต๊อกมานฟัง พร้อมบอกเหตุผลว่าสิบวันที่ผ่านมา ราคาข้าวจากกระสอบละ 3 ตำลึง พุ่งขึ้นสูงไปถึง 15 ตำลึง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก พีดัมจึงอาสาที่จะไปคุยกับพวกพ่อค้าดู ส่วนไอชองก็อาสาจะไปดูในตลาด เพื่อสืบพวกพ่อค้าโก่งราคา ซึ่งต๊อกมานขอไปด้วย เพราะนาง อยากรู้ความเป็นอยู่ของชาวบ้านเหมือนกัน

โซวาไปขอซื้อข้าวสาลีจากพ่อค้าในตลาด แต่พ่อค้าไม่ยอมขายให้ ไม่ว่าจะให้ราคาสูงขนาดไหน บอกแต่เพียงว่าข้าวเหล่านี้มีคนจองแล้ว ต๊อกมานได้ยินเข้าจึงเข้ามาถามว่า ใครเป็นคนรับซื้อข้าวเหล่านี้ ด้านพีดัมก็ไปหายอจง เพื่อถามเขาว่า เขามีส่วนทำให้ข้าวมีราคาสูงขึ้นใช่หรือไม่

“เหตุการณ์ที่ตลาด “ซอซี” ก็เหมือนกัน มีข้าวอยู่ชัด ๆ แต่ไม่ยอมขาย”

“บอกว่ามีคนจองแล้วใช่ไหม” ต๊อกมาน ถาม

“พ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าอยากรู้ว่าเป็นเพราะใคร ที่ทำให้เป็นแบบนี้ ต้องให้ใครซักคนคอยดูความเคลื่อนไหวของพวกพ่อค้า แถมยังทำอย่างเงียบ ๆ ด้วย ท่านคิดว่ามีใครที่เหมาะ”

“เอ่อ....หม่อมฉันขอรับอาสา....ในฐานะที่เป็น “แทนัมโท” หม่อมฉันจะพยายาม....สืบหาต้นตอมาให้องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ” จุปัง กล่าว

“หึ....ดีมาก งั้นเอาตามนี้”

เหล่าองครักษ์เฝ้าดูเส้นทางการส่งข้าวของเหล่าพ่อค้า ทำให้รู้ว่า ข้าวส่วนใหญ่จะถูกส่งไปยังบ้านเศรษฐีหลายคน ทั้งบ้านท่านซอวอน และท่านซกพุง

คุณชายชุนชูเลือกซื้อเครื่องประดับมามากมาย เมื่อยอจงเห็น จึงอดที่จะยอไม่ได้ว่าคุณชายตาถึงมาก เลือกเครื่องประดับที่จะใช้เป็นเครื่องบรรณาการไปถวายฮ่องเต้เมืองสุยได้เยี่ยม แต่คุณชายชุนชูว่า ทั้งหมดเป็นของเลียนแบบทั้งสิ้น

“ที่ริมหน้าผาเขา “เชียนฝอ” ที่เมืองสุย มีรูปแกะสลักมากมาย เพราะเนื้อหิน ของที่นั่นเหมาะแก่การแกะเป็นลวดลายต่าง ๆ และต้องเป็นเครื่องกังไสที่ผลิตจากดินของที่นั่นเท่านั้น ถึงจะไปถวายฮ่องเต้ได้” คุณชายชุนชู กล่าว

“อ้อ....หึ....ช่างเป็นความรู้แก่ข้านัก เฮ่อ ๆ ๆ อะไรจะรู้ลึกรู้ดีขนาดนี้ แหม....เฮ่ย....”

“เจ้ารู้มั้ยว่า คนคนนั้นเป็นใครน่ะ”

“ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นเจ้าเมืองฮันซาน” โพยาง กล่าว

“ชื่อของเขา....คือ “คิมยินมุน” ใช่หรือเปล่า”

“หึ....ไม่ใช่ค่ะ คิมยุนมินเป็นแม่ทัพเมือง “ฮาซอนลา” ต่างหาก ส่วนคนนี้ เขาชื่อ “นิมยองจี” ต่างหาก”

“อึม....นิมยองจีหรือ เพิ่งเคยได้ยินชื่อครั้งแรกนะนี่” คุณชายชุนชู กล่าว

“แต่ข้าเคยเล่าให้ฟังหลายครั้งแล้วนะคะ....สมัยก่อนที่ไปตีเมือง “คาจัง” ของแคว้น แพ่กเจ เขาเป็นรองแม่ทัพใหญ่น่ะค่ะ....เนื่องจากสร้างผลงานไว้มาก ตอนหลังจึงได้เป็นถึงรองเจ้ากรมกลาโหมด้วย”

“หึ....”

“หึ....เรื่องแค่นี้ยังจำไม่ได้อีก ข้าไม่เข้าใจความคิดท่านเอาซะเลย”

“ข้าก็เบื่อตัวเองเหมือนกัน ที่ชอบจำสับสนระหว่างชื่อของคนนี้กับหน้าตาของอีกคน”

“เอ่อ....บางคนเก่งเรื่องนี้ แต่โง่ในอีกเรื่องก็ถือว่าธรรมดาน่ะครับ เฮ่อ ๆ ๆ ข้าก็เคยออกบ่อยไป ขนาดคนที่เจอหน้าบ่อย ๆ บางครั้งนึกจะลืมก็ลืมซะงั้น ต้องคิดตั้งนาน กว่าจะนึกออก เฮ่อ ๆ ๆ” ยอจง กล่าว

“นั่นสิ แสดงว่าเราโง่ทั้งสองคน”

“นั่นสิครับ แต่ข้าโง่กว่าท่านอีกนะ ฮ่า ๆ ๆ มา ๆ เชิญเลือกต่อเร็วเข้า ไม่ต้องเกรงใจนะครับ ฮ่า ๆ ๆ” ยอจง กล่าว

จุปังและโกโตที่เฝ้าดูอยู่ที่บ้านฮาจอง ทำให้รู้ว่าเขาก็รับซื้อข้าวจากพ่อค้าไว้มากมายเหมือนกัน

“เอ....คนพวกนี้มันจะกักตุนสินค้า เพื่อฆ่าชาวบ้านหรือยังไง”

“ต่อให้มีบ่าวไพร่เยอะ ก็ไม่เห็นต้องซื้อตุนขนาดนี้ หรือว่าพวกลูกน้องจะกินจุเหมือนข้า ว่ามั้ย” โกโต สงสัย

“โง่จริง อย่าใช้ความคิดแบบเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางสิ เดี๋ยวนี้เจ้าไม่ใช่โกโตคนเก่าอีกแล้ว แทนัมโท เจ้าต้องรู้สึกภูมิใจในฐานะลูกน้องคนสนิทของข้าจุปัง เข้าใจหรือเปล่า”

“อึม....แหะ....ว่าแต่ เห็นกระสอบข้าว ทีไร ข้ารู้สึกหิวทุกที ฮ่า ๆ ๆ”

“โกโต”

“ฮ่า ๆ ๆ โอ๊ะ....แหะ ๆ ๆ”

“ตะกละนัก เดี๋ยวเถอะ เฮ่ย....เอาไงดี”

จุปังและโกโตรีบกลับมารายงานให้ต๊อกมานและคิมยูซินทราบว่า หลังจากที่ตามไปดูเส้นทางซื้อขายผลผลิตการเกษตรแล้ว ทำให้รู้สาเหตุที่ทำให้ข้าวมีราคาแพง นั่นเพราะมีพ่อค้าบางรายกว้านซื้อสินค้าไปหมดทำให้ขาดตลาด

“ใครกว้านซื้อ และซื้อไปทำอะไรรู้มั้ย” ต๊อกมาน ถาม

“พ่ะย่ะค่ะ เท่าที่เห็นก็มีท่านซอวอน ท่านฮาจอง ท่านโพจอง กลุ่มคนเหล่านี้ที่รับซื้อสินค้าทั้งหมด และทุกราย ล้วนแต่ให้ราคาสูงพ่ะย่ะค่ะ”

“หึ....ซื้อไปตุนไว้หรือ”

“หวังจะปั่นราคาให้สูงแล้วค่อยปล่อยขาย” คิมยูซิน ตั้งข้อสังเกต

“แต่ว่า แล้วเพราะอะไรกัน พวกเขาถึงยอมจ่ายราคาสูงไว้ก่อน”

“โธ่....องค์หญิง ไม่บอกก็รู้ ยิ่งรับซื้อในราคาสูง สินค้าก็ยิ่งมีค่า เป็นที่ต้องการมากขึ้น”

“ใช่ เพื่อหวังกำไรผลต่าง เหมือนการค้าผูกขาดที่ขูดรีดราษฎร”

“ข้อนี้ข้าก็รู้อยู่”

“ถ้าอย่างงั้น....”

“แต่ยังมีข้อข้องใจในบางเรื่อง” ต๊อกมาน กล่าว

ต๊อกมานเก็บความสงสัยนั้นมาขอความเห็นกับพระเจ้าจินพยอง ว่าเพราะอะไรในสมัยพระเจ้าจินฮึง ก็เคยมีบางช่วงที่สินค้าขาดตลาด แต่ว่าไม่ถึงขนาดราคาสูงถึงเพียงนี้ และถ้าดูลึกไปอีกที ในสมัยพระเจ้าจินจิก็เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำอีกครั้งเช่นกัน

“แต่จะเทียบกับสมัยพระเจ้าจินฮึงคงไม่ได้ เพราะตอนนั้น ทางการยื่นมือเข้าช่วย เหมือน ตื่นมาก็มีความหวังใหม่ ให้ชาวบ้านได้จัดสรรที่ทำกิน มีที่ดินเป็นสัดส่วน แถมลดภาษีให้อีก หลังจากนั้นจึงได้เกิดผลผลิตตามมามากมาย.... เฮ่อ....แต่ว่า ตอนนี้เราคงเอาอย่างไม่ได้ เพราะข้าไม่เอาไหนเอง” พระเจ้าจินพยอง กล่าว

“ไม่ใช่หรอกเพคะฝ่าบาท สาเหตุเป็นเพราะว่า ชนชั้นปกครองกักตุนสินค้าไว้เก็งกำไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง”

“แต่ว่าการตุนสินค้าไม่ถือว่าผิดกฎหมาย เพราะพวกเขาใช้เงินของตัวเองซื้อไว้ ใครจะพูดอะไรได้ ถ้าพวกเขารับซื้อไว้เยอะ ทำให้ชาวบ้านเกิดภาวะขาดแคลน ทางการก็ต้องบริจาคให้ความช่วยเหลือ ขุนนางก็ต้องเฉือนเนื้อตัวเองเหมือนกัน สิบกว่าปีมานี้ คนที่บริจาคสิ่งของและอาหารช่วยเหลือมากกว่าราชสำนักอีก ส่วนใหญ่ก็คือมีซิลคนเดียว”

“นี่แหละคือ....สิ่งที่หม่อมฉันสงสัยเพคะ ไหน ๆ ก็ต้องบริจาคอยู่แล้ว แต่กลับ....รับซื้อในราคาสูง เป้าหมายที่นางทำแบบนี้ เพื่ออะไรกันแน่” ต๊อกมาน กล่าว

คุณชายชุนชูมาเรียนกับคิมยูซินตามเวลาที่เคยเป็น แต่ยูซินบอกให้องค์ชายรู้ว่า ต่อไปคนที่จะมาสอนวิชาให้เขาคือ พีดัม เมื่อคุณชายชุนชูรู้ว่าพีดัมจะมาสอนเขาแทน ก็ออกอาการไม่พอใจ และขอร้องให้คิมยูซิน เป็นคนสอนเขาต่อแต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อมีโอกาสคุณชายชุนชูจึงถามพีดัมว่าต๊อกมานกำลังสืบเรื่องสินค้ามีราคาสูงอยู่ใช่หรือไม่ พีดัมจึงอธิบายว่าเพราะพวกขุนนางมีการกักตุนสินค้า ทำให้สินค้ามีราคาแพง

“ก็ต้องหวังผลประโยชน์อยู่แล้ว ถามได้” คุณชายชุนชู กล่าว

“คงไม่หรอกมั้ง มันไม่ใช่ของที่มีกำไรมากมาย ถึงกักตุนไปก็เท่านั้น อาจเป็นเพราะว่า....เฮ่ย....บอกไป ท่านก็ไม่รู้”

“ถ้าวัดด้วยปริมาณของสินค้า มันก็ไม่ได้คำตอบอยู่แล้ว”

“หมายความว่าไง” พีดัม สงสัย

“หึ....สินค้าเกษตร แร่เหล็ก ทองคำ จำเป็นต้องซื้อขายของพวกนี้ถึงได้กำไรหรือเปล่า”

ต๊อกมานมาหามีซิล เพื่อถามเกี่ยวกับเรื่องการกักตุนสินค้า

“ในฐานะพ่อค้า ถ้าปีไหนเก็บเกี่ยวดี จะกักตุนสินค้าเอาไว้ จากนั้นก็ขายในราคาสูง เพื่อหวังกำไรส่วนต่างเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าปีไหนเกิดภัยแล้ง ทุกคนต้องช่วยกันบริจาคข้าว โดยเฉพาะขุนนางกับชนชั้นสูง ถ้ากักตุนไว้เยอะก็ต้องยิ่งบริจาคมาก ไม่แน่ว่า อาจทำให้ขาดทุนก็เป็นได้”

“ใช่ เป็นอย่างงั้นจริง ๆ” มีซิล กล่าว

“แล้วทำไมยังยอม....รับซื้อในราคาสูง เพื่อให้สินค้าขาดแคลน ทำให้ชาวบ้านอยู่ในภาวะลำบากอีก”

“ทรงคิดว่า ชาวบ้านลำบากเพราะอะไรล่ะ” มีซิล ทิ้งคำถามไว้ให้ต๊อกมานคิด

“เพราะสินค้าเกษตรมีราคาสูง ทำให้พวกเขาไม่มีปัญญาซื้อ เป็นเหตุให้ยิ่งยากจนมากขึ้น”

“ถ้าอย่างงั้น คนที่ยิ่งลำบากและยากจน จะทำไงต่อไป”

“หา....ทำไงหรือ หึ....ทำไงล่ะ”

“เกษตรกรของเรา มีทั้งเช่าที่นา และ ทำนาในที่ของตัวเอง แล้วเราจะแบ่งคนพวกนี้ยังไงดี” มีซิล กล่าว

ต๊อกมานอธิบายให้คิมยูซินรู้ว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดการกักตุนสินค้า เป็นเพราะในปี “ฮยองนึน” สมัยพระเจ้าจินจิปีที่สอง และปีที่สามในเดือน 7 “คอนบก” ปีที่สอง ปีที่ 13 ....ปีที่ 28....เฮ่อ....ทุกครั้งที่เกิดภัยแล้ง ที่ดินและ บ่าวไพร่ของชนชั้นสูงก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เจ้าของที่นาสิ้นเนื้อประดาตัว

“ถ้าอย่างงั้น สินค้าเกษตรที่พวกเขารับซื้อก็เพื่อ....”

“ใช่ เพื่อจะขูดรีดชาวบ้านอีกที”

“หึ....ถ้าขึ้นราคาแล้วไม่มีปัญญาซื้อ ก็ต้องแลกด้วยที่ดิน จากเจ้าของที่ก็จะกลายเป็นคนเช่าแทน” คิมยูซิน กล่าว

“ส่วนพวกที่เช่าทำนาอยู่แล้ว ก็ต้องยอมขายตัวเป็นทาส”

“ใช่ นับแต่สมัยพระเจ้าจินจิ พอฝนแล้งทีไร ขุนนางก็เริ่มบีบคั้นพวกเจ้าของที่ เพื่อยึดมาเป็นของตัวเองซะ แถมยังเพิ่มภาษีอีก ต่างหาก ในขณะที่ ภาษีที่ขุนนางต้องจ่ายกลับน้อยลงไป”

“จากนั้น ก็เอาสินค้าที่ตัวเองตุนไว้ ทำทีว่าบริจาคเพื่อช่วยชาวบ้านที่ยากไร้ อ้างว่าเห็นใจราษฎร เป็นการเรียกคะแนนนิยม” ต๊อกมาน กล่าว

“แต่ว่า องค์หญิงทรงทราบได้ยังไง”

“หึ....ทั้งหมดนี้ ข้าได้ความรู้มาจากมีซิล ทั้งนั้น” ต๊อกมานกล่าว สร้างความประหลาด ใจให้กับคิมยูซิน

“แต่ว่า เราก็ไม่อาจขัดขวางพวกเขาได้ เพราะใช้เงินตัวเองซื้อของ ถือว่าไม่ผิด ถ้าเป็นการโก่งราคา ก็ต้องออกกฎหมายเพื่อควบคุม แต่เรื่องนี้ต้องผ่านสภาขุนนาง ซึ่งพวกเขาคงไม่เห็นชอบอยู่แล้ว”

“หึ....ใช่ ออกเป็นกฎหมายไม่ได้หรอก”

“หา....”

“เมื่อเป็นการค้า ก็ต้องใช้วิธีของพ่อค้า ....ข้าโตมาจากแหล่งซื้อขายที่ทะเลทราย....นั่นเป็นที่ที่พ่อค้าระดับหัวกะทิของชาติต่าง ๆ ไปรวมตัว การค้าในชิลลาแม้จะรุ่งเรืองก็จริง แต่ยังเทียบที่นั่นไม่ได้ เพราะฉะนั้น ข้าจะลองวัด ดวงกับพวกเขาดู” ต๊อกมาน กล่าว

พระเจ้าจินพยองอธิบายให้ต๊อกมานเข้าใจว่า ไม่มีทางที่จะห้ามพวกขุนนางไม่ให้กว้านซื้อสินค้าได้

“ถ้าใช้ผลผลิตในคลังเสบียงก็จะแก้ได้” ต๊อกมานเสนอ

“เสบียงของหลวงหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“เจ้ามีแผนจะต่อกรกับพวกเขาได้หรือ”

“ฝ่าบาท เรื่องนี้ ทรงให้หม่อมฉันจัดการได้ไหม....ไม่ว่ามองในระยะยาว หรือระยะสั้น วิธีนี้ก็น่าจะได้ผล”

“ต้องมีเสียงคัดค้านอย่างหนักแน่ องค์หญิง เพราะแม้แต่หม่อมฉันก็ซื้อไว้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่เพื่อหวังเก็งกำไร เพียงแต่ห่วงว่าขุนนางอื่นจะไม่ยินยอม” ยองชุน กล่าว

“หรือไม่งั้น....ก็ให้พวกเขาบริจาคตอนนี้ดีมั้ยพ่ะย่ะค่ะ”

“แม้ว่าทุกปีเราจะมีบริจาค แต่ก็ไม่อาจช่วยชาวบ้านที่ถูกขุนนางเอารัดเอาเปรียบ ถึงขนาดเสียที่ทำกินได้เพียงพอ....ข้าจึงอยากให้พวกท่านช่วยเหลือซักครั้ง”

“แต่ว่า ทางการไม่อาจไปแทรกแซงกลไกทางตลาด อาจจะต้องมีตัวแทนขึ้นมา ซักคน”

“หึ....ใช่ เป็นตัวแทนที่ไว้ใจได้ด้วย” ต๊อกมาน กล่าว

ซกพุงเห็นความผิดปกติของสินค้าในตลาดที่มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น จึงรีบมารายงานให้ฮาจองและเซจองทราบ องครักษ์จึงออกความเห็นว่า หรือเป็นเพราะทางการจะเปิดยุ้งฉางแจกเสบียง

“ถ้าทางการจะแจกเสบียงจริง ขุนนางอย่างข้าจะไม่รู้ได้ไง อยู่ดี ๆ จะเอาอะไรไปแจกชาวบ้าน” เซจอง กล่าว

“อีกอย่าง ต่อให้ทางการแจกเสบียงให้ชาวบ้านจริง แล้วจะไปอยู่ในตลาดได้ไง ไม่มีทางซะล่ะ เป็นไปไม่ได้”

“เรายังไม่มีโครงการจะแจกเสบียง พวกเจ้าอย่าห่วงเลย ออกไปก่อนเถอะ”

“แต่ว่า ระยะนี้รู้สึกสินค้าจะเพิ่มขึ้น จริง ๆ นะครับ แม้ว่าเราจะยอมจ่ายให้ราคาสูงก็ตาม ...ขนาดเมื่อวานนี้ยังมาถามข้าว่าข้าวขึ้นราคาอีกกระสอบละ 30 ตำลึงจะรับซื้อหรือเปล่า” ฮาจอง กล่าว

“อึ้ม....มันก็แพงขึ้นจริง ๆ น่ะนะ เทียบกับหลายวันก่อน ราคาขึ้นตั้งสองเท่าเชียว”

“ถึงอย่างงั้น เราก็ต้องรับซื้ออีกไม่ใช่หรือครับ”

“หึ....”

ที่สินค้าในตลาดมีมาก เป็นเพราะต๊อกมานสั่งให้พีดัมไปใช้ยอจงกว้านซื้อสินค้ามา จากนั้นก็เตรียมที่จะปล่อยข้าวที่มีอยู่กว่า 1 พันกระสอบออกสู่ตลาดทั้งหมด แต่คิมยูซิน ตั้งข้อสังเกตว่า แม้สินค้าในตลาดจะมีมาก แต่ราคาข้าวยังไม่เห็นลดลงเลย

“ถ้าเพียงแค่จะแทรกแซงกลไก ป่านนี้ก็น่าจะหยุดได้แล้ว แต่ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขา คือยึดที่ทำกินของชาวบ้าน เลยต้องรับซื้อต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะถึงวันที่พวกเขาตาสว่างว่ารับซื้อมากไป แถมราคาที่ซื้อเข้าก็สูงเกินไปด้วย” ต๊อกมาน กล่าว

ยูซินถูกมีซิลเรียกพบ เพราะอยากรู้ว่า ทำไมจู่ ๆ สินค้าเกษตรก็มีมากขึ้น คงไม่ใช่เพราะองค์หญิงต๊อกมานเอาเสบียงที่อยู่ในยุ้งฉางของหลวงไปขายข้างนอกหรอกนะ

“ใช่ เนื่องจากสินค้าเกษตรมีราคาขึ้นสูง องค์หญิงจึงคิดว่าถ้าปล่อยเสบียงที่อยู่ในยุ้งฉางออกไป ไม่แน่อาจช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นก็ได้”

“นี่แปลว่าราชสำนักจะทำการค้าด้วยหรือไง มันผิดธรรมเนียมนะ” ซอวอน กล่าว

ข่าวที่ว่าราชสำนักเตรียมเปิดยุ้งฉาง เอาเสบียงที่มีอยู่ขายเข้าตลาด รู้ไปทั่ว ทำให้พวกที่กักตุนสินค้าเริ่มปล่อยของออกสู่ตลาดแล้ว เนื่อง จากเกรงว่า หากยังกักตุนไว้ จะทำให้ขาดทุน

“วันนี้ข้าเป็นตัวแทนฝ่าบาท มาประชุมเรื่องราคาสินค้า ที่ค่อนข้างผันผวนในระยะนี้ ใครมีความเห็นยังไง ก็เชิญพูดมาได้”

“องค์หญิง ไม่ทราบว่า ได้มีพระบัญชา ให้เปิดยุ้งฉางจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ” เซจอง กล่าว

“ใช่”

“ไม่ใช่เพื่อแจกเสบียงให้ชาวบ้าน แต่เอาเสบียงของหลวงไปขายหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“สินค้าราคาขึ้นสูง ก็ต้องปล่อยออกให้มากขึ้น....ช่างน่าผิดหวังจริง ๆ เป็นความคิดที่ไร้เดียงสาเกินไป” มีซิล กล่าว “ราชสำนักจะทำการค้ากับชาวบ้านได้ยังไง เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้หรือ”

“เสบียงที่เก็บไว้ เพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน เผื่อปีไหนเกิดภัยแล้ง จะได้นำออกแจกจ่าย แต่นี่องค์หญิง กลับทรงนำไปขายซะ”

“ข้ายังมีวิธีอื่น ที่จะรับซื้อเสบียงกลับมาอีก การค้าก็คือการค้า พักก่อน เราขายออกไปในราคาสูง แต่ตอนนี้ราคาลดลง เราก็กว้านซื้อกลับมาซะ ทำแบบนี้ เท่ากับทางการได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง....ที่สำคัญ เมื่อสินค้าในตลาดมีจำนวนมากขึ้น...” ต๊อกมาน กล่าว

“ราคาก็จะลดลง การค้าก็จะเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ว่า ถ้าคนที่กักตุนไว้ร่วมมือกันไม่ยอมปล่อยสินค้าล่ะ....ถึงตอนนั้น องค์หญิงจะทรงแก้ยังไง” “ทนกันได้ไม่นานหรอกยังมีเสบียงกองทัพ ก็เตรียมปล่อยออกเพื่อช่วยชาวบ้านอีกระลอก ตอนนี้ท่านซอยอนกำลังดำเนินการอยู่”

“จะปล่อยเสบียงกองทัพหรือ เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะต้อง....”

“เพราะสินค้ามีราคาสูง จึงต้องปล่อยเสบียงที่ทางการเก็บเอาไว้ ทรงคิดว่าทำแบบนี้ จะเป็นการแก้ปัญหาได้หรือ” มีซิล กล่าว

“ไม่แน่ว่า ถ้าไปยุ่งกับเสบียงของกองทัพ อาจมีคนต่อต้านก็ได้”

“การที่ราคาผันผวน เพียงเพราะสินค้าขาดตลาดอย่างเดียวหรือเปล่า....ไม่ใช่เป็นเพราะว่า....เหล่าขุนนางต้องการยึดที่ทำกินของชาวบ้านหรอกหรือ....ข้าน่ะ ไม่คิดทำการค้าเพื่อจะเอาเปรียบราษฎร เพื่ออยากค้าขายกับขุนนางที่เห็นแก่ได้มากกว่า” ต๊อกมาน กล่าว

“แต่เสบียงของกองทัพต้องสำรองไว้เพื่อการทำศึก เรื่องนี้องค์หญิงจะทรงรับผิดชอบได้หรือ เกิดวันดีคืนดีแคว้นแผ่กเจมารุกรานเรา....”

“จริง ๆ แล้ว จะปล่อยออกก็ได้ หรือไม่ปล่อยก็ได้เหมือนกัน”

“อะไรนะ ไม่ปล่อยก็ได้หรือ”

“ใช่ สำคัญอยู่ที่การปล่อยข่าวมากกว่า”

“การปล่อยข่าวงั้นหรือ” ฮาจอง สงสัย

“สินค้าราคาพุ่งสูงได้ยังไง จริง ๆ แล้วเพราะคนกลัวว่าจะขาดตลาด เกิดภาวะขาดแคลนสินค้า จึงรีบไปกว้านซื้อราวกับคนเสียสติ เหตุผลก็เช่นเดียวกัน ความจริงเราไม่ต้องปล่อยขายก็ได้ แค่บอกว่าจะปล่อยเสบียงของกองทัพออกไป ทีนี้คนที่กักตุนสินค้าไว้ ก็จะเทขายแทบไม่ทัน จากนั้น ราคาสินค้าก็จะลดลงเอง” “แต่ว่า ถ้าขุนนางไม่ปล่อยสินค้า ไม่ยอมให้ราคาลงล่ะ” มีซิล กล่าว

“จะเอาอย่างงั้นก็ได้ เรามาลองดูซักตั้ง กล้ามั้ยล่ะ ถึงตอนนั้น ของที่พวกท่านรับซื้อไว้ ราคาจะตกกว่านี้อีกเท่าตัว” ต๊อกมาน อธิบาย





..............จบตอนที่ 38...........



วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 37



Queen Seon Deok ( 善德女王/ 선덕여왕)
เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 37
Cr. : Dailynews Online

ต๊อกมานแสดงความยินดีกับมีซิล ที่เตรียมจะจัดงานมงคล ซึ่งมีซิลว่าเป็นเพราะคิมยูซินรีบร้อน อีกทั้งนางจะส่งเสริมให้เขาได้เป็นผู้นำองครักษ์อย่างเต็มภาคภูมิ

“แน่นอน เพราะไม่ว่าคุณสมบัติไหน ๆ เขาก็เด่นกว่าใคร”

“ใช่ แต่ว่า หม่อมฉันก็ไม่โง่พอที่จะเชื่อว่าคนอย่างเขาจะมาอ่อนข้อด้วยความจริงใจ”

“ใช่ เพราะฉะนั้น ข้าก็จะพยายามให้มากขึ้น ถ้าท่านไม่กลัวเขาจะถูกแย่งกลับมา” ต๊อกมาน กล่าว

“พยายามหรือ องค์หญิงช่างรับสั่งได้ ตรงนัก”

“ข้ากำลังสู้กับใครอยู่ มีหรือจะไม่รู้จัก ประเมิน”

“หึ....การถวายงานต่อพระราชาคือสิ่งที่หม่อมฉันต้องเรียนรู้ ตั้งแต่เด็กมา จึงหัดที่จะปรนนิบัติผู้ชายทุกอย่าง”

“ใช่ พระเจ้าจินฮึง องค์ชาย “ทงยุน” หรือแม้แต่พระเจ้าจินจิ ท่านก็เคยรับใช้มาหมด ทั้งท่านเซจอง ท่านซอวอน อ้อ....ได้ยินว่ายังมีผู้ชายอีกมากหน้าหลายตา”

“เพราะฉะนั้น วิธีที่จะให้ผู้ชายมาสยบแทบเท้าคงไม่มีใครชำนาญเท่าหม่อมฉันแน่ แต่ว่าองค์หญิงเป็นเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ต้องคำนึงถึงพระเกียรติ เลยไม่กล้าทำอย่างงั้น อาจต้องใช้ความสามารถอย่าง หนักถึงจะดึงเขากลับไปได้” มีซิล กล่าว

“หึ....ยังไงก็....ขอบคุณสำหรับคำเตือน ดี ๆ ที่ท่านมักจะมีให้เสมอ”

ต๊อกมานขอบคุณคิมยูซินที่ช่วยให้นาง ได้ตาสว่างมากขึ้น เรื่องการปกครองอาณาประชาราษฎร์

“จากการที่มีซิลใช้ชีวิตชาวคาย่าเป็นเครื่องต่อรอง ทำให้ท่านนอกจากอ่อนข้อแล้ว แทบ ไม่มีทางอื่นที่จะปกป้องพวกเขาให้ปลอดภัยได้ หึ....เป็นการค้นพบที่น่าทึ่งจริง ๆ หึ....จริงหรือ นอกจากวิธีนี้แล้ว เราไม่มีทางอื่นอีก” ต๊อกมาน กล่าว

“มีหรือไม่ หม่อมฉันอาจจะไม่รู้ แต่ว่าจากเหตุการณ์นี้ทำให้มั่นใจเรื่องหนึ่ง คือแผ่นดินที่แตกแยกมาตั้งแต่สมัยโบราณ อีกไม่นานจะได้ ผนึกรวม ตามความฝันที่แคว้นชิลลาวาดหวังมา 200 ปี หม่อมฉันคิมยูซิน....ยอมสวามิภักดิ์ต่ออุดมการณ์ของพระราชาแห่งชิลลาองค์แล้วองค์เล่า เพื่อให้ฝันนั้นกลายเป็นความจริง โดยมีหม่อมฉันก็เป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อน แค่นี้ก็รู้สึกภูมิใจแล้ว หม่อมฉัน....ต้องการที่จะเหนือกว่าท่านชุยบูในอดีต รวมถึงท่านยีซอ หรือแม้แต่ท่านซอวอนในปัจจุบัน เป็นนักรบและนักวางแผนชั้นเลิศ....และหวังว่าองค์หญิง จะเหนือกว่าพระเจ้าจินฮึง เหนือกว่ามีซิล เป็นนักปก ครองผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์แห่งชิลลา....แค่นี้ถึงจะให้องค์หญิงและหม่อมฉันได้อยู่ใกล้ชิดและไม่มีวัน พรากจากกัน องค์หญิง....ความเชื่อมั่นระหว่างนายกับบ่าว เทียบกับความรักระหว่างชายหญิง ยิ่งเปราะบาง กว่าหลายเท่านัก....เส้นทางที่เราจะเดินเป็นทางวิบาก ....และความเชื่อมั่นระหว่างเราก็จะถูกทดสอบอยู่เรื่อย” คิมยูซิน กล่าว ทำให้ต๊อกมานเกิดความน้อยใจ

“เรื่องนี้ข้าก็รู้”

ยอจงรับปากที่จะช่วยมุนโนหาสถานที่เงียบ ๆ เขียนหนังสือแผนที่จนเสร็จ และยังบอกด้วยว่า อีกสักพักจะมีข้อมูลเกี่ยวกับการค้าที่แพ่ก เจมาให้อีก ส่วนตอนนี้เขาจะพาไปพบคนหาข่าวก่อน

ซอวอนและมีเซ็งอดเป็นห่วงไม่ได้ว่า โพยางจะเป็นหญิงสาวที่คุณชายชุนชูพอใจได้

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า แหะมา ๆ ให้ข้าดูหน่อยซิ อึ้ม...เดี๋ยวก่อน เจ้าคิดว่าสีจัดจ้านแบบนั้นเหมาะกับผิวของโพยางแล้วหรือ จุ๊ ๆๆ แย่จริง ใช้สีชมพูอ่อนหน่อย จะได้เข้ากับแก้มที่ดูเรื่อ ๆ ไง เอาแปรงมาซิ ยิ้มให้ข้าดูหน่อย....ไม่ใช่ ๆ อย่ายิ้มจนเห็นฟันอย่างงั้น ต้องยิ้มน้อย ๆ เหมือนผู้หญิงที่เอียงอาย เคยเห็นรอยยิ้มของท่านมีซิลหรือเปล่า” มีเซ็ง กล่าว

“ขอโทษด้วยค่ะ”

“มีใครบอกหรือยังว่าเจ้ามีหน้าที่สำคัญแค่ไหน หือ....”

“ข้อนี้ไม่ต้องห่วง ข้าได้บอกให้นางเข้าใจแล้ว” ซอวอน กล่าว

“เพราะมีหน้าที่สำคัญ แม้แต่รอยยิ้มหรือคำพูดคำเดียว ก็อย่าทำรุ่มร่ามเป็นอันขาด เข้าใจหรือเปล่า....อึม....”

“แต่ว่า ได้ยินว่าคุณชายชุนชูเป็นคนช่างเลือกช่างติ ปกติไม่ว่าจะดื่มเหล้า หรือกินอาหารก็จะเลือกสรรไปหมด”

“ใช่ครับ เป็นคนที่เอาใจลำบากที่สุด เฮ่ย....”

โพยางบรรเลงให้คุณชายชุนชูได้ฟัง ส่วน โพจองอยากรู้ทรรศนะเกี่ยวกับความเป็นอยู่ในเมือง สุยจากเขา

“ได้ ที่จริงก็ไม่ใช่ทรรศนะอะไรหรอก”

“อย่าพูดอย่างงั้น ถือว่าที่นี่เป็นบ้านตัวเอง จะมาเมื่อไหร่ก็ได้”

“แน่นอน จะได้เล่าให้โพยางได้เปิดหูเปิดตา เกี่ยวกับโลกภายนอกซะบ้างดีมั้ย หือ....”

“หึ ๆๆ”

“ได้ครับ ด้วยความยินดี”

“ดี ๆ เฮ่อ ๆๆ แหม....เห็นมั้ยว่าน่ารักแค่ไหน อ่อนหวานแช่มช้อยไปหมด เฮ่อ ๆๆ”

พีดัมเข้ามาขอโทษมุนโน หลังทำลายความ หวังของเขา พร้อมสัญญาว่าต่อไปจะพยายามทำตัวให้ดีขึ้นกว่านี้ และขอให้มุนโนมอบหนังสือแผนที่ให้เขาได้หรือไม่ แต่มุนโนปฏิเสธ และว่าทางที่ดีพวกเราควรจะไปจากที่นี่ พร้อมลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด แล้วพีดัมก็นึกย้อนไปในวัยเด็กที่เขาเคยถามมุนโนว่า หากโตขึ้นและทำงานใหญ่สำเร็จจะได้ครองเมืองหรือไม่ ซึ่งมุนโนตอบเพียงว่า อาจจะต้องทำให้มากกว่าพระราชา ยิ่งใหญ่กว่าพระราชาทุกองค์ที่เคยมี เพราะงานที่จะทำเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของสามแคว้นและขึ้นเป็นใหญ่แทน

“เพราะคำพูดที่อาจารย์เคยบอกให้รู้ ทำให้ข้าตั้งความหวังมาตั้งแต่ยังเด็กนัก ท่านเคยรู้บ้างมั้ย เพราะคำพูดของท่านประโยคเดียวเท่านั้น ทำให้ข้ากล้าที่จะฆ่าคน...รวดเดียวถึงสิบกว่าคน เพื่อจะปกป้องหนังสือนั่นไว้ ท่านเคยบอกว่าหนังสือเป็นของข้าและท่านก็ทำเพื่อข้า...ข้าจึงหวังว่าจะให้ท่านชื่นชมบ้าง แต่แล้ว ทำไมกลายเป็นยูซินไปได้ ทำไมไม่ใช่ข้าที่อยู่กับท่านมานาน เพราะอะไร กลายเป็นคนที่เพิ่งรู้จัก เพิ่งเคยพบไม่กี่ครั้ง” พีดัม กล่าว

“เพราะความคิดของเจ้าจริงจังเกินไป... อะไรที่ข้าบอกว่าสำคัญมาก เจ้าก็ตั้งอกตั้งใจเพื่อจะได้รับคำชม ถึงขนาดฆ่าคนมากมาย นั่นคือความมุ่งมั่นของเจ้า...เพราะเจ้าเป็นคนแบบนี้ เหมือนอย่างมีซิล ข้าจึงอยากบอกให้รู้ หนังสือเล่มนั้นไม่ได้เป็นของเจ้าซักนิด” มุนโน กล่าว พร้อมสั่งให้ลูกน้องดูเอาไว้ ต่อไปอย่าให้ใครได้มาที่นี่อีก

โกโตแสดงความไม่พอใจกับการตัดสินใจของคิมยูซิน เพราะเหมือนกับเป็นการทอดทิ้งองค์หญิงต๊อกมาน

“ไม่ใช่อย่างงั้น เจ้าคิดผิดแล้ว สิ่งที่ท่านยูซินทำ คือใช้ปัญญาแก้ปัญหาความวุ่นวายไม่ให้เกิดการเข่นฆ่า ยอมสละความรักแต่เลือกบ้านเมืองแทน ถึงสมเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง ช่างเถอะ ๆ เอาเป็นว่า อีกหน่อยท่านยูซินจะเป็นคนที่ทำงานใหญ่เป็น” จุปัง กล่าว

“ถึงงั้นก็เถอะ ข้าไม่เห็นชอบเลย”

“เจ้าจะรู้อะไร จริงสิ พ่อค้าซีเยี่ยมาถึงแล้ว ใช่ไหม”

“อึม...”

“ข้าไปล่ะ หลีกไป ๆ”

“อ้าว....จะไปไหนน่ะ หา....”

แวยาเห็นว่าการที่คิมยูซินตัดสินใจที่จะร่วมมือกับมีซิลเป็นการกระทำที่ถูกต้อง เพราะไม่ว่ายังไง เขาก็จะต้องปกป้องชาวบ้านไว้ก่อน

“ถึงอย่างงั้นก็เถอะ เท่ากับว่าต่อไปเขาจะห่างเหินกับองค์หญิงต๊อกมาน และองค์หญิงก็ต้องเสียพระทัยกับการกระทำของเขาด้วย” ซอแจ กล่าว

“ยังไงก็ตามแต่ เท่ากับท่านเป็นหนี้บุญคุณเขาแล้วรู้มั้ย”

“ข้อนี้ข้ารู้”

ต๊อกมานเป็นห่วงชุนชู เพราะได้ยินมาว่าเขาไม่ค่อยได้อยู่ในวัง อีกทั้งยังไม่ชอบที่จะอ่านหนังสือด้วย จึงขอมายาไปดูชุนชูที่เมืองสุย ว่าตอนนี้เขาทำอะไรอยู่

ต๊อกมานเสด็จมาหาชุนชูที่เมืองสุย เมื่อได้คุยกับชุนชู ต๊อกมานจึงสั่งสอนเขา

“เจ้าเคยบอกข้าว่า อย่าคิดอาศัยบารมีแม่เจ้าเป็นอันขาด เพราะคนที่จะแทนที่นางได้ ไม่ใช่ข้าแต่เป็นเจ้า เมื่อมีความคิดแบบนี้แล้ว ทำไมยังทำตัวเหลวไหลไม่ได้เรื่องอีก เสียทีที่แม่เจ้า....” ต๊อกมาน กล่าว

“องค์หญิง....วัน ๆ ทรงว่างมากหรือไง....เรื่องของหม่อมฉัน หม่อมฉันจัดการเองได้ ไม่ต้องมาสอนแทนแม่หม่อมฉันหรอก”

จุปังและโกโตซื้อหมวกที่พ่อค้าชาวซีเยี่ยนิยมใส่มามอบให้ต๊อกมาน แต่เพราะต๊อกมานกำลังคุยอยู่กับคุณชายชุนชูอยู่ จึงฝากหมวกไว้ที่โซวา เพราะเวลาที่เสียใจ หากได้นึกถึงอดีต มันจะช่วยได้มาก พร้อมกับเอาตุ๊กตาแกะสลักฝากไว้ให้ด้วย

หลังจากที่ต๊อกมานคุยกับคุณชายชุนชูเสร็จ โซวาก็นำของที่จุปังและโกโตฝากไว้มามอบให้

“หึ....ต๊อกมาน ได้ยินว่าเจ้าได้เป็นองค์หญิงแล้วหรือ”

“หึ ๆ ๆ”

“เมื่อก่อนที่อายุยังน้อย บอกว่าโตขึ้นจะเป็นวีรบุรุษ แต่กลับกลายเป็นองค์หญิงแทน”

“หึ....ใช่ หึ ๆ ๆ”

“น่าสงสารเจ้าจริง ๆ วีรบุรุษมักจะว้าเหว่ เสมอ....องค์หญิง....”

“ฮือ....ได้โปรด....เรียกข้าว่าต๊อกมานเถอะ ช่วยเรียกหน่อย เรียกข้าว่าต๊อกมานได้ไหม”

“หึ....ต๊อกมาน”

“ท่านแม่ ฮือ....ข้าเสียใจมากเลย ฮือ.... ฮือ....พรุ่งนี้แล้วใช่ไหม ฮือ....” ต๊อกมาน กล่าว พร้อมทั้งร้องไห้ออกมา

พีดัมรู้ว่ามุนโนเขียนหนังสือแผนที่เสร็จแล้ว และเตรียมที่จะนำไปมอบให้ยูซิน เขาจึงรีบขวางไว้ และขอให้ส่งหนังสือเล่มนั้นให้

“หนังสือชุดนี้ต้องเป็นของข้าคนเดียว.... แผ่นดินนี้นอกจากข้าแล้ว ใครก็ไม่คู่ควรจะได้อ่านมัน” พีดัม กล่าว

“เจ้านี่มันบ้าแล้วจริง ๆ คนอย่างเจ้า ไม่มีสิทธิได้ครอบครองหนังสือชุดนี้”

“สิทธิหรือ? ใครมีสิทธิกันแน่ ขึ้นอยู่กับท่านเป็นคนตัดสินใจเท่านั้น”

“หึ....”

“อาจารย์เลี้ยงข้ามา ก็ควรจะสอนข้าบ้าง”

“เรื่องการฆ่าคนหรือไม่ควรฆ่า ยังต้องให้สอนกันอีกหรือ....หลีกไปเดี๋ยวนี้”

“ข้าไม่หลีกซะอย่าง”

“บอกให้หลีก”

“ข้าไม่หลีก”

“ความโอหังของเจ้า เหมือนกระบี่ที่ไม่มีด้ามจับ ถ้าใครคิดจะจับเจ้าไว้ ความคมของกระบี่จะทำให้บาดถูกมือ ข้าเคยคิดว่าตัวเองจะสามารถกลายเป็นด้ามจับ เพื่อควบคุมทิศทางของกระบี่นั้น แต่เมื่อถึงวันนี้ยังไม่อาจทำได้ ข้าคงได้แต่...จำต้องหักกระบี่ทิ้งไปด้วยตัวเอง...เจ้าคิดว่า อยากให้ข้าทำอย่างงั้นมั้ย” มุนโน กล่าว

“เฮ่อ....ถ้าหาก....นี่เป็นความประสงค์ของท่านจริง....ก็เชิญมาหักได้เลย ดูซิท่านจะหักกระบี่ข้าได้ไหม คำสอนของอาจารย์ ชาตินี้....ข้าจะไม่มีวันลืมเลย ย้าก..” แต่ยังไม่ทันที่จะต่อสู้ มุนโนก็ถูกยาพิษจนสลบไป

“อาจารย์....ๆ....ๆ...”

พีดัมรีบแบกมุนโนไปรักษา แต่ระหว่างทางมุนโนถามเค้าว่า ทำไมถึงไม่รีบกลับไปเอาหนังสือ แทนที่จะมาแบกเขาเพื่อไปรักษา เพราะมุนโนรู้ตัวว่าไม่รอดแน่

“ข้าไม่คู่ควรจะเป็น....อาจารย์เจ้านานแล้ว เฮ่อ....”

“ฮือ....ไม่....อาจารย์ครับ”

“หึ....เหมือนที่เจ้าพูด ไม่แน่ว่าข้าอาจกลัวเจ้าก็เป็นได้ ฮือ....ข้าไม่เคยที่จะเข้าใจเจ้า โอ๊ะ....ไม่เคยที่จะอบรมให้ถูกทาง โอ๊ะ....หึ....มีแต่...พยายามจะข่มเจ้าเอาไว้ โอ๊ะ...หึ...โอ๊ะ... ข้า...ข้า...ฮือ...ฮือ...ขอโทษด้วยนะ”

“ฮือ ๆ ๆ”

“ไม่นึกว่าถึงตอนนี้ ข้าเพิ่งเห็นน้ำใจที่แท้จริงของเจ้า แต่....มันก็สายไปแล้ว....แต่ว่า....ข้าต้องขอบใจเจ้า....โอ๊ะ....หึ....โอ๊ะกลับไปซอนาบูซะ ไปเป็นองครักษ์”

“ฮือ....อาจารย์”

“ไปอยู่กับยูซิน และช่วยองค์หญิงต๊อกมานทำงาน ไม่ว่าใครพูดอะไร เจ้า....ก็คือลูกศิษย์ข้า โอ๊ะ....โอย....” มุนโน กล่าวก่อนที่จะหมดลมหายใจ

“ฮือ....อาจารย์....”

ยูซินฝึกกระบี่ให้คุณชายชุนชู แต่ฝึกได้ไม่นานชุนชูก็ขอพัก อ้างว่าเหนื่อยแล้ว

“ท่านเพิ่งจะฝึกไม่นานเอง....ขี่ม้าก็ไม่เป็น ฝึกกระบี่ยังจับไม่ถูกท่า แล้วต่อไปจะปกป้องตัวเองได้ยังไง”

“คนที่ชอบนึกว่าตัวเองปีนต้นไม้เก่ง ส่วนใหญ่มักจะตกต้นไม้ตาย บางคนบอกว่าชำนาญกระบี่ ก็จะตายเพราะกระบี่ซะเอง”

“ถ้าได้ตายด้วยกระบี่จริง ก็เป็นเกียรติขององครักษ์” ยูซิน กล่าว

“เฮอะ....เกียรติขององครักษ์หรือ องครักษ์ ต้องไปออกรบ ถึงจำเป็นต้องฝึกกระบี่ให้เก่ง.... ข้าไม่เห็นต้องออกศึกเลย แล้วทำไม...ต้องฝึกการใช้กระบี่ด้วย”

“ถ้าศัตรูอยู่ข้างนอกบุกมา ท่านจะรับมือยังไง นั่งเฉย ๆ รอมันมา แล้วบอกว่าข้าสู้ไม่เป็น ขอให้มันไว้ชีวิตงั้นหรือ แบบนี้จะถือเป็นลูกผู้ชายได้ยังไง....ถือกระบี่แล้วไปฝึกอีกครั้ง”

“หึ...ได้ยินว่า ก่อนแม่ข้าจะเสีย ท่านเป็นคนที่อยู่กับนาง...หึ...เห็นบอกว่า ตอนนั้นท่านกับแม่ข้ากำลังจะพูดเรื่องแต่งงานด้วยซ้ำ... หึ...สุดท้าย งานของท่านกับแม่ข้ากลับล้มเหลว แล้วท่านก็หวังเป็นสวามีขององค์หญิงต๊อกมาน พอเรื่องนี้ไม่สำเร็จ ท่านก็เบนเข็ม ไปเกี่ยวดองกับครอบครัวท่านมีซิล เป็นเขยในตระกูลนั้นแทน...นี่คือสิ่งที่ลูกผู้ชายควรทำหรือเปล่า ข้าอยากรู้นัก....หึ....มันก็จริงนะ ด้วยฐานะอย่างท่าน ถ้าไม่อาศัยการแต่งงานจะมาถึงขั้นนี้ได้หรือ” ชุนชู กล่าว

“ท่านจะพูดอะไรกับข้ากันแน่”

“ดูผิวเผินเหมือนเป็นคนซื่อ แต่จริง ๆ มากเล่ห์เพทุบาย....ตอนอยู่ในงานประลองยุทธ ข้าดูท่านไม่เห็นจะเก่งอะไร....อ๋อ....สงสัยท่าทางเงียบ ๆ หงิม ๆ แบบนี้ ก็คืออาวุธของท่านใช่ไหม นั่นสินะ ท่านใช้ความซื่อเป็นฉากบังหน้า ทำให้หลายคนหลงเชื่อสนิท และนี่ก็คือ....วิธีที่จะเอาตัวรอดใน ชิลลา ตามแบบฉบับของท่านล่ะสิ” ชุนชูกล่าว พร้อมตำหนิคิมยูซิน ที่นึกขำออกมา

“มีคน ๆ หนึ่ง เมื่อก่อนก็เคยพูดแบบนี้เหมือนกัน ข้าจำได้” คิมยูซิน กล่าว พร้อมนึกถึงองค์หญิงชอนมยอง

ยูซินแจ้งให้เหล่าองครักษ์ทราบว่า ในงานไหว้พระจันทร์ปีนี้ จะมีการคัดเลือกองครักษ์ใหม่ที่มาจากต่างเมืองให้มาสังกัดเมืองหลวง พร้อมกับรับองครักษ์เพิ่มเป็นสองเท่า

“หึ....ถ้ารับเป็นสองเท่า พวกเขาก็จะมีจำนวนมากกว่าองครักษ์เมืองหลวง ถึงตอนนั้น ฐานะของเรามิต้อง....” ซกพุง ค้าน

“ขณะเดียวกัน องครักษ์ในเมืองหลวง จะได้รับการเลื่อนขั้นตามสัดส่วน โดยทำการคัดเลือกจากคนที่มีผลงาน”

“ถ้าทำได้อย่างงั้นจริง มันก็ดีหรอก แต่ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าอาหาร และยังมีอาวุธอีก....”

“ส่วนนี้ราชสำนักจะรับผิดชอบเอง เพราะฉะนั้น เพื่อให้ได้องครักษ์ใหม่ ที่มีคุณ สมบัติเพียบพร้อมกว่าที่แล้วมา ขอให้ท่านชิซูดูแลให้ด้วย”

“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง หม่อมฉันจะทำตามที่สั่ง แต่ว่าได้ยินว่าท่านมุนโน ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว”

“หึ....งั้นก็รบกวนท่าน ทำงานแทนเขาไปชั่วคราว ซึ่งอาจจะต้อง....เพิ่มภาระให้ท่านมากขึ้น”

“พ่ะย่ะค่ะ”

พีดัมเข้ามาถวายความเคารพต๊อกมาน ท่ามกลางความประหลาดใจของเหล่าองครักษ์

“องครักษ์พีดัม....ถวายบังคมองค์หญิง”

“หึ....นี่มันอะไรกันนี่ หลายวันที่ผ่าน เจ้าไปอยู่ไหนมา”

“ท่านมุนโนล่ะ มากับเจ้าด้วยหรือเปล่า”

“ตอนนี้อาจารย์ข้า ไปอยู่บนเขา “แท แผ่กซาน””

“ไปอยู่บนเขาหรือ”

“อาจารย์บอกให้ข้ามาที่นี่ ทำงานแทนเขาในฐานะลูกศิษย์เต็มตัว....ที่สำคัญ อาจารย์ให้ข้ากลับมาเมืองหลวง สานต่อเจตนารมณ์ในฐานะองครักษ์ต่อไป” พีดัม กล่าว

“ถ้าเขามา แล้วยิมจงจะไปอยู่ตรงไหน”

“นั่นสิ”

“แต่เจ้ามาคนเดียวไม่มีลูกน้องซักคน จะมาเทียบกับพวกเราได้ไง” โพจอง กล่าว

“ข้าจะรับสมัครลูกน้องตั้งแต่วันนี้”

“ใช่ลายมือท่านมุนโนหรือเปล่า” ซกพุง กล่าว

“โปรดอย่าลบหลู่....ความคิดของอาจารย์ข้า”

ชิซูรีบมารายงานให้มีซิลทราบว่า ตอนนี้ พีดัมกลับมาแล้ว อีกทั้งยังมาพร้อมกับจดหมายของมุนโน ที่ให้การรับรองว่าเขามีสิทธิเป็นองครักษ์เต็มตัว

“แล้วตอนนี้มุนโนไปอยู่ไหน”

“ได้ยินว่าขึ้นเขาแทแผ่กซาน”

“แทแผ่กซานหรือ? มุนโนไม่มา มาแต่พีดัมคนเดียว” มีซิล คิดแปลกใจ

พีดัมเข้ามาหายอจง เพื่อถามว่าเขาเป็นคนลงมือฆ่ามุนโนหรือไม่ เพราะคนที่รู้เรื่องในวัดนั้น และรู้เกี่ยวกับเรื่องหนังสือมีแต่เขาสองคนเท่านั้น

“หึ....เฮ่อ ๆๆ เจ้าคิดดีแล้วหรือที่มาฆ่าคนในบ้านพ่อค้าอย่างข้าแล้วจะได้อะไร เฮ่อ ๆๆ ต้องการหนังสือคืนหรือจะแก้แค้น ให้อาจารย์ล่ะ” ยอจง กล่าว

“ต้องการทั้งสองอย่าง”

“เฮ่อ ๆๆ ถ้าเจ้าฆ่าข้าละก้อ....”

“ถ้าฆ่าท่านก็จะไม่ได้หนังสือคืน ไม่ได้คืนก็ไม่เห็นจะเป็นไร ข้าไม่เห็นสนใจซักนิด”

“เอ่อ....”

“ถ้าไงข้าจะฆ่าท่านปิดปากก่อน เฮ่อ ๆๆ” พีดัม กล่าว

“แสดงว่า เจ้ามาแก้แค้นล่ะสิ หือ.... เฮ่อ ๆ ๆ แต่ว่า เดิมทีเจ้าก็คิดจะฆ่าท่านมุนโนอยู่แล้ว จริงหรือเปล่า หึ ๆๆ เฮ่อ ๆๆ ถ้าไง เราไปหาหนังสือก่อน แล้วค่อยเจรจาอีกทีดีมั้ย โอ๊ะ...โอย...เบา ๆ ก็ได้ ทำไมต้องผลักด้วย เอ่อ... หึ ๆ เอาเถอะ ๆ รู้แล้ว ๆ ข้ากลัวเจ้า เฮ่อ ๆๆ แหะ ๆๆ”

“อย่าลูกเล่นให้มากนักนะ” พีดัม กล่าว

“นี่....เจ้าโหดขนาดนี้ ใครจะกล้าเล่น ตุกติก หือ....เฮ่อ ๆๆ เฮ่อ ๆๆ ตามมาเร็วเข้า ที่นี่แหละ เฮ่อ ๆๆ (ซ....) เฮ่อ ๆๆ บอกแล้วว่าไม่มีอะไรก็ไม่เชื่อ เจ้านี่ใจเสาะซะจริง”

“ฮึ่ม....เดี๋ยว”

“นั่นอะไร เฮ้ย...อยากรู้ว่าคืออะไรน่ะ หือ...”

“แผนที่สามแคว้น”

“โอ๊ะ....โอ๊ย....โอย....”

ลูกน้องของยอจงเข้ามารายงานว่า มีคนมาขอพบ แต่ยอจงสั่งให้ไล่ไปให้พ้น ซึ่งลูกน้องได้ส่งของให้ยอจงหนึ่งอย่าง บอกว่าชายคนนั้นฝากมาให้ เมื่อเห็นของ ยอจงจึงเปลี่ยนใจ อยากที่จะพบคน ๆ นั้นแล้ว





..............จบตอนที่ 37..........



วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 36



Queen Seon Deok ( 善德女王/ 선덕여왕)
เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 36
Cr. : Dailynews Online


คิมยูซิน พยายามตอบคำถามของซอวอนที่พยายามลดความน่าเชื่อถือของเขาเพื่อไม่ให้ได้เป็นผู้นำองค์รักษ์

“พวกเขาเป็นแค่...ชาวนาที่มาช่วยปรับที่ดินในการเพาะปลูก การจ้างวานให้ชาวบ้านมาทำงาน ด้วนค่าตอบแทนที่ต่ำก็เป็นความผิดด้วยหรือ นี่เป็นการกล่าวหาที่เลื่อนลอยชัด ๆ แค่เห็นภาพตรงหน้าก็มาใส่ไคล้ โดยไม่มีหลัก ฐานซักนิด”

“เรายังไม่มีหลักฐานก็จริง แต่ว่าสิ่งที่ข้าพูดมา ก็ส่อเค้าว่าจะเป็นจริงตามที่มีคนสงสัย ส่วนจะจริงเท็จยังไงนั้น เชื่อว่าท่านยูซินคงรู้ดีกว่าใครโดยไม่ต้องให้ข้าบอกซ้ำอีกหรอกนะ”

“แล้วยังไง ท่านจะให้ข้าทำไงต่อ”

“ข้าบอกแล้วว่าจะมีทางออกให้...ท่านจะได้เป็นผู้นำองครักษ์เหมือนเดิม ส่วนข้อกังขาทั้งหมดก็จะถูกคลี่คลาย มิเป็นทางออกที่ดีหรอกหรือ”

“นี่เป็นการใส่ร้ายชัด ๆ นึกหรือว่าแค่เรื่องนี้ จะขัดขวางไม่ให้ท่านยูซิน ได้เป็นผู้บัญชาการองครักษ์ได้น่ะ”

“แต่ว่า แก่นแท้ของเรื่องทุกอย่าง มักมาจากการตั้งสมมุติฐานแต่แรกไม่ใช่หรือ...หรือว่าองค์หญิง...มีหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ของท่านยูซิน ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้อพยพเหล่านั้น...แน่นอนว่าองค์หญิง คงไว้วางพระทัยต่อคน ๆ นี้เต็มร้อย แต่ว่า จะมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของเขาคนเดียวก็ไม่ถูก... ชนเผ่าคาย่า โดยเฉพาะผู้อพยพนั้น เป็นทั้งกำลังสำคัญและจุดอ่อนของท่านยูซินก็ว่าได้ ถ้าองค์หญิงหวังพึ่งคนของเขาโดยไม่ไว้ใจท่านยูซิน ความหมายก็จะเปลี่ยนไป และถ้าแยกเป็นสองประเด็นก็จะยิ่งแย่ใหญ่...ยังไงก็ตามแต่ ท่านยูซินไม่อาจปลดภาระเกี่ยวกับเผ่าคาย่าได้อยู่แล้ว ไม่เพียงทิ้งพวกเขาไม่ได้ ยังไม่อาจช่วยเหลือได้อย่างเปิดเผย” มีซิล กล่าว

“แล้วยังไง ท่านจะทำไงต่อไป”

“ถ้าหาก....ยอมตัดหัวผู้นำกลุ่มโพยามาให้เราซะ ปัญหานี้ก็จะจบ” ซอวอน กล่าว

“แต่ว่า ข้าจะรู้ได้ไงว่าคนไหนคือหัวหน้ากลุ่ม”

“แน่นอนว่าอาจจะไม่รู้จัก แต่ว่าทางเดียวที่จะแก้ปัญหาให้ถูกทาง ก็คือเอาศีรษะของหัวหน้ากลุ่มโพยามาซะ...ถ้าทำได้จริง ก็เท่ากับสร้างผลงานใหญ่ก่อนขึ้นรับตำแหน่งผู้นำองครักษ์ หลังจากนั้นเท่ากับยิ่งเป็นที่เคารพ ไม่มีใครกล้าครหาอีก” ซอวอน กล่าว

ไอชองไม่เข้าใจว่าทำไมยังมีคนคัดค้าน คิมยูซิน บอกว่าปัญหาเกิดจากชาติกำเนิดของตน

“เป็นชาวคาย่าแล้วไง จะเป็นผู้นำองครักษ์ไม่ได้หรือ” ไอชอง ถาม

“เหตุการณ์นี้ก็เหมือนกับ....คราวก่อนที่เนรเทศชาวคาย่าไปเมืองซังยางจู คราวนี้แค่ เปลี่ยนเป็นกลุ่มโพยาเท่านั้น”

“กลุ่มโพยา? พวกเขารู้เรื่องนี้ด้วยหรือ”

“คงไม่ใช่รู้แต่แรก แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไรนัก”

“ใช่ เราเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ตกไปอยู่ในหลุมพรางของพวกเขามากกว่า” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส

มีซิลคิดว่าถ้าคิมยูซินยอมจับผู้นำกลุ่มโพยาเพื่อแก้ปัญหาเขาก็จะถูกชาวคาย่าตำหนิ แต่ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มโพยา เขาก็ไม่ได้เป็นผู้นำองครักษ์ และมันจะกลายเป็นรอยด่างในชีวิตที่จะเป็นชนักปักหลังเขาตลอดไป

“หวังว่าสุดท้ายเขาจะตาสว่างรู้ว่าการมาเข้ากับเราถึงเป็นทางออกที่ดี ไม่รู้ว่าจะคิดได้หรือเปล่า” ซอวอน กล่าว

“หึ....ถึงเขาจะไม่โง่ แต่เป็นคนเถรตรง คงไม่มีทางคิดยอกย้อนถึงต้นสายปลายเหตุ.... เพราะฉะนั้น เราต้องมีหลักฐานแน่ชัดเพื่อผูกมัดเขาอีก” มีซิล กล่าว

“ครับ ข้าได้ส่งข่าวไปยังเขตยีซอ หาลูกน้องคิมซอยอนที่ชื่อ “พังซู” แล้ว”

“ไส้ศึกของเราที่ติดตามคิมซอยอนมา เมืองหลวง และเป็นคนสนิทน่ะหรือ”

“ใช่” ซอวอน กล่าว

การแต่งตั้งตำแหน่งของคิมยูซินถูกเลื่อนออกไป ทำให้คิมซอยอนไม่สบายใจ จึงเดินทางไปเข้าเฝ้าพระเจ้าจินพยอง

“อะไรนะ มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ”

“หึ...”

“หึ....แต่ก็ไม่ถูก ยูซินจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มโพยาจริงหรือไม่ก็ช่าง ไม่เห็นจะเป็นเรื่องสำคัญซักนิด” พระเจ้าจินพยอง ตรัส

“พ่ะย่ะค่ะ ถ้าจะหาว่าเป็นกบฏ โดยอ้างเหตุการณ์ส่งเดชเป็นการปรักปรำที่ใครก็ทำได้” ยองชุน ทูล

“น่าจะเป็นแผนของฝ่ายมีซิลมากกว่าพ่ะย่ะค่ะ” คิมซอยอน ทูล

“ถ้ารู้ว่าเป็นอย่างงี้แต่แรก ให้โพจอง รับตำแหน่งนี้ไป จะได้หมดเรื่องหมดราวซะ” พระเจ้าจินพยอง ตรัส

ชุนชู ออกจากวังหลวงไปนั่งดื่มเหล้ากับมีเซ็ง โดยมีเซ็งแกล้งพูดว่ารู้จักกับคุณชายชุนชูไม่นาน แต่รู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นก็ได้พาคุณชายชุนชูไปเต้นรำกับผู้หญิงที่หอนางโลม

มุนโนให้คนไปตามคิมยูซินมาพบ

“นั่งลงก่อน...เรื่องที่พูดถึงในงานแต่งตั้งผู้นำองครักษ์ เป็นความจริงหรือเปล่า....บอกข้ามาตามตรง ข้าสัญญาว่าจะไม่พูดกับใครให้รู้... จริง ๆ แล้ว ถ้ามองจากคุณสมบัติโดยรวม ให้เจ้าเป็นผู้นำองครักษ์ถือว่าเหมาะสมกว่าใคร... แต่ว่าถ้ามีเรื่องของเผ่าคาย่ามาเกี่ยวก็จะยุ่ง เพราะกลุ่มโพยาเคยมีความเคลื่อนไหวหลายครั้ง และคนพวกนี้ก็เกิดจากการรวมตัวของชนเผ่าคาย่าเดิม ตอนนี้ผู้อพยพไปอยู่ในเมือง “อัมยางจู” ซึ่งเป็นเขตปกครองของเจ้าจริงหรือเปล่า”

“จริงครับ...ข้าแบ่งที่ให้พวกเขาทำกิน โดยไม่มีการเก็บค่าเช่า”

“อะไรนะ ให้ทำกินเปล่า ๆ หรือ” มุนโน ถาม

“ครับ”

“ถ้าเรื่องนี้มีใครรู้เข้า จะเป็นหลักฐานชิ้นเอกเชียวนะ ทำไมต้องทำแบบนี้”

“เพื่อแลกกับความภักดีของพวกเขา”

“ความภักดีหรือ”

“เพื่อเอาความภักดีมาเป็นกำลัง และกำลังส่วนนี้ จะเป็นฐานอำนาจของข้าในแคว้น ชิลลาน่ะครับ”

“หึ....”

“เผ่าคาย่าไม่มีทางได้กอบกู้อีกแล้ว ที่สำคัญ แม้จะรวมตัวกันได้ ข้าก็ไม่คิดว่าจะมีทางไหนดีกว่านี้อีก สู้เป็นกำลังสำคัญให้ชิลลาสร้าง ฝันให้เป็นจริง เป็นผู้นำที่จะผนึกสามแคว้นให้เป็นหนึ่งเดียว นี่คือสิ่งที่ชาวคาย่าจะได้อยู่ต่อไปอย่างมั่นคง...เพราะฉะนั้นข้า...แม้ไม่ได้เป็นผู้นำองครักษ์ ก็จะไม่ทำเรื่องทรยศต่อชนเผ่าเป็นอันขาด” คิมยูซิน กล่าว

ซอแจ และแวยา ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มโพยา รู้ว่าคิมยูซินกำลังตกที่นั่งลำบากเมื่อได้พบเจอ จึงเสนอตัวเข้าช่วย

“เหตุการณ์ที่เกิดในพิธีแต่งตั้งของท่าน ข้าได้ยินหมดแล้ว” แวยา กล่าว

“หึ....”

“ท่านยูซิน....ถือว่าข้าเป็นหัวหน้ากลุ่มโพยา จับไปให้พวกเขาเถอะ เราไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว”

“มีแต่วิธีนี้เท่านั้น เพราะยังไงท่านก็ทิ้งตำแหน่งผู้นำองครักษ์ไม่ได้ ถ้าทิ้งเมื่อไหร่...ก็เท่ากับยอมรับว่าตัวเองมีความผิดจริง”

“นั่นสิครับ อย่าให้เรื่องแค่นี้ทำให้เสียงานใหญ่ ยังไงก็ต้องตัดสินใจให้ขาด” ซอแจ กล่าว

“พวกเจ้าก็คิดเหมือนมีซิลใช่ไหม...ชั่งน้ำหนักประเมินผลประโยชน์ แล้วตัดขาดส่วนที่ไม่มีความหมายออกไป”

“ไม่งั้นจะให้ทำไงได้ ถ้าจำเป็นต้องตัด ส่วนใดส่วนหนึ่งออกไป ก็ให้เป็นส่วนที่เสียหายน้อยที่สุด” แวยา กล่าว

“สิ่งที่อ้างว่าเสียหายน้อย นึกจะตัดก็ตัดได้ง่าย ๆ พอรวมกันมากเข้ามันก็คืออำนาจส่วนหนึ่ง ไม้ซีกรวมกันยังงัดไม้ซุงได้ เข้าใจหรือเปล่า”

“ไม่ใช่ว่าเราไม่เข้าใจ เพียงแต่ว่า ตอน นี้ไม่มีทางเลือกอื่นจริง ๆ” ซอแจ กล่าว

“ท่านต้องมองที่เป้าหมายมากกว่าคิดเล็กคิดน้อยนะ” แวยา กล่าว

คิมยูซิน องค์หญิงต๊อกมาน และมีซิล บอกว่าตนเองจะยอมสละตำแหน่ง

“นี่แปลว่า คิดได้แล้วใช่ไหม นี่คือการตัดสินใจของเจ้า จริงอยู่ เจ้าช่างเป็นคนมีเมตตาซะนี่กระไร” มีซิล กล่าว

“เป้าหมายของท่านเซจู ก็คือจะให้โพจองเป็นผู้นำองครักษ์...แต่ว่าจะมีกี่คนที่ยอมรับ ผลที่ออกมาแบบนี้...ในเมื่อตอนประลองทุกคน ก็อยู่ และเห็นกับตาด้วย แต่แล้วตำแหน่งผู้นำองครักษ์กลับให้คนอื่นมาแทนข้า มิเป็นเรื่อง น่าตลกหรอกหรือ ถ้าโพจองได้ครองตำแหน่ง แทนข้าจริง คิดว่าเขาจะภูมิใจมั้ย....ถ้าทุกอย่างไม่มีปัญหา ข้าก็พร้อมจะสละตำแหน่งทุกเมื่อ คนที่ผ่านการประลองจนได้รับชัยชนะ กลับถูกขับไสไล่ส่งด้วยข้อหาเลื่อนลอย แถมไม่มีหลักฐานอีก ท่านคิดว่าเรื่องแบบนี้จะมีใครเชื่อหรือเปล่า” คิม ยูซิน กล่าว

จากนั้นมีซิลได้นำหลักฐานที่ได้จากพังซูที่ไปขโมยมาจากบ้านของคิมซอยอนให้ดู ทำให้คิมยูซินถึงกับอึ้งไป โดยหลักฐานที่นำมาแสดงนั้นเป็นสัญญาลงนามไม่เก็บค่าเช่ากับชาวคาย่าที่ไปอยู่เมืองอัมยางจู และคิมยูซินยังเป็นสมาชิกในกลุ่มโพยา

“นี่มันอะไรกัน ทำไมหนังสือสัญญาไปอยู่กับพวกเขาได้” ไอชอง โวยวาย

“น่าจะขโมยไปจากบ้านข้า”

“ที่น่าแปลกก็คือ มีหลักฐานชิ้นสำคัญขนาดนี้ ตามหลักน่าจะจับเจ้าส่งให้กรมอาญา พิจารณาความผิด แล้วทำไมถึงได้...มอบให้องค์หญิงกับเจ้าดูแค่สองคนเท่านั้น”

“ดูเหมือนว่า พวกเขาไม่ตั้งใจจะทำแบบนี้แต่แรก” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส

“สรุปแล้วพวกเขาต้องการอะไรกันแน่”

“ท่านมีซิล....หวังว่าจะได้....ท่านยูซินไปเป็นพวก” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส

“อยากได้ตัวเขาหรือ”

“ทำแบบนี้ จะทำให้ข้ายิ่งเจ็บใจมากกว่า” องค์หญิงต๊อกมานคิด จากนั้นก็ตรัส

“ท่านยูซิน....อาจต้องมอบท่านซอแจ... ในฐานะหัวหน้ากลุ่มโพยาให้พวกเขา...ได้ยินว่าเขาก็เต็มใจไม่ใช่หรือ”

“หม่อมฉันจะไม่ทำแบบนี้”

“หึ....แต่นอกจากวิธีนี้แล้วไม่มีทางอื่น”

“ถ้าคราวนี้มอบตัวซอแจไป วันหน้า ก็ต้องส่งคนอื่นไปอีก หลังจากนั้นก็ส่งให้ไปเรื่อย ๆ”

“ใช่ แค่ส่งตัวไปก็พอ”

“องค์หญิงทรงเข้าพระทัยความหมาย ที่แอบแฝงหรือเปล่า...ถ้าเรามอบตัวซอแจ ออกไป กลุ่มโพยาก็จะถูกรวมเข้ากับชาวคาย่าทันที...และถ้าหม่อมฉันไม่ยอมอ่อนข้อ พวกเขาจะบอกว่าชาวบ้านที่อยู่เมืองอัมยางจู คือกบฏที่ คิดร้ายต่อบ้านเมือง และถ้าหม่อมฉันไม่ยอมอีก พวกเขาก็จะตั้งข้อหา....หาว่าชาวบ้านตาดำ ๆ คือผู้ก่อการร้าย จากนั้นก็ตามประหัตประหารด้วยข้อหาคิดกบฏ....โปรดเห็นชาวคาย่ามีฐานะเช่นเดียวกับชาวชิลลาด้วยเถอะ ถ้าองค์หญิงมีภัยจะยอมให้ชาวบ้านตายแทนแล้วตัวเองเอาตัวรอดหรือเปล่า” คิมยูซิน ทูล

“ไม่งั้น จะให้ข้ายอมสละท่านเอามั้ยล่ะ....ถึงข้าจะไม่เคยพูดซักคำ ท่านคิดว่าตัวเองไม่มีความหมายต่อข้าใช่ไหม”

“แต่นี่คือ....สิ่งที่องค์หญิงทรงตัดสินพระทัยแล้ว....คงไม่ใช่....คิดว่าการครองเมืองเป็นเรื่องง่ายที่ใครก็สามารถทำได้ และการที่จะห่วงใยราษฎร คือปลอบใจไปตามเรื่อง ไม่ใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงพวกเขาก็พอแล้ว...การ เป็นพระราชานั้น คือแม้ยอมแลกกับชีวิตตัวเอง ก็ต้องปกป้องราษฎรให้ถึงที่สุด ส่วนราษฎรก็ต้องการผู้ปกครองที่ฆ่าคนอื่นเป็นหมื่นแสน แต่ขอให้ปกป้องพวกเขาไว้ก่อน....นี่คือสิ่งที่หม่อมฉันทำอยู่ และหวังว่าองค์หญิงจะทรงถือเป็นเยี่ยงอย่างด้วย”

“แล้วข้าล่ะ...แล้วข้าล่ะ ฮือ...”

“นี่คือ...สิ่งที่องค์หญิงต้องเผชิญอยู่แล้ว”

มุนโนเข้ามาคุยกับคิมยูซิน

“ข้าตั้งใจมาคุยกับเจ้า....เมื่อกี้จะไปหา พอดีคุยกับองค์หญิงอยู่...รู้มั้ยว่าคนที่ครองใจคน เพราะอะไรถึงเท่ากับได้ครองแผ่นดิน...เพราะ คนเหล่านั้นได้เทิดทูนให้คนคนหนึ่งกลายเป็นพระราชาขึ้นมา วีรบุรุษไม่ได้เกิดจากตัวเอง แต่มาจากการเชิดชูของคนรอบข้าง ที่เจ้าทูลองค์หญิงไปนั้น ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวก็จริงอยู่ แต่การจะทำไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ปัญหาอยู่ที่... นอกจากวิธีที่องค์หญิงรับสั่งแล้ว ไม่มีทางออกทางอื่นอีก...หรือไม่ เจ้าคิดจะทำยังไง แน่ใจว่า จะทำอย่างงั้นจริงหรือ”

“ครับ”

“องค์หญิงต๊อกมานทรงมี...คุณสมบัติ พร้อมจริงหรือเปล่า หรือว่าเราจะมองนางผิดไป...หรือว่า แต่ไหนแต่ไรมา สวรรค์ได้ลิขิตอีกเส้นทางหนึ่งไว้แล้ว จะเป็นคิมยูซินใช่หรือเปล่า” มุนโนคิด จากนั้นก็กลับออกไปแล้วได้พบกับพีดัม จึงถาม

“อารมณ์ดีขึ้นบ้างหรือยัง”

“กลัวข้าไปดูอีก เลยเอาหนังสือไปไว้ที่อื่นหรือครับ”

“เจ้าไปที่วัดนั่นอีกหรือ”

“ท่านบอกว่า หนังสือพวกนั้นเป็นของข้า...หรือว่าไม่ใช่แล้ว” พีดัม กล่าว

“ไม่เอาไหนนัก ทำไมถึงได้สิ้นคิดแบบนี้”

มีเซ็งพาชุนชูเที่ยวจนได้เป็นคนสนิท วันหนึ่งเขาได้พาชุนชูไปเที่ยวที่หอนางโลม จนพอใจหญิงคนหนึ่งที่ชื่อโพยาง และพาเข้าบ่อนการพนัน โดยหลอกให้ชุนชูเล่นได้มือขึ้น

“เล่นแบบนี้ง่ายมาก ในกระป๋องจะมีตัวเลขทั้งหมด 14 ตัวโดยแบ่งเป็นลูกเต๋าลูกละ 7 แต้ม แล้วเราก็ทายว่าจะออกตัวไหนบ้าง” มีเซ็ง กล่าว

“ดูเดี๋ยวเดียวก็รู้แล้ว ก็คือ...ในจำนวนเลข 1 ถึง 14 ทายให้ถูกซักตัวใช่ไหม”

“อัจฉริยะจริง ๆ ทำไมฉลาดเหมือนข้าเป๊ะเลยนะนี่ เฮ่อ ๆๆ งั้นอย่ารอช้า ลองเล่นหน่อยดีมั้ย”

“งั้นข้า....ขอแทงเลข 5” ชุนชู กล่าว

“วางเงินเลยครับ....5 แต้ม” เจ้ามือบอก

“จริงด้วย ออก 5 จริง ๆ ฮ่า ๆๆ ทำไมทายปุ๊บก็ถูกปั๊บล่ะนี่ แบบนี้เรียกว่าคนดวงดี ทำอะไรก็รุ่งไปหมดจริงมั้ย เฮ่อ ๆๆ แล้ว... ต่อไปจะเล่นตัวไหนดีช่วยบอกหน่อยซิ เฮ่อ ๆ เอาล่ะ งั้นข้า...ก็ขอทายว่าจะออก 8 แหะ ๆ” มีเซ็งกล่าว ขณะที่ชุนชูแทง 9

“9 แต้ม” เจ้ามือ กล่าว

“9 แต้ม ฮ่า ๆ สวรรค์ ทำไมท่านถึงโชคดีขนาดนี้นะ เฮ่อ ๆ เอาไงดี งั้น...เอ่อ...เลข 9 สงสัยจะถูกโฉลกกับข้า ข้าต้องแทงเลข 9 บ้าง เดี๋ยวก็รู้....แหะ ๆ” ชุนชู กล่าว

“หึ....”

“วันนี้ “ยอนโจ” ไม่มาหรือ” มีเซ็ง ถาม

“เขาไปบ่อนที่ “แคอุน” น่ะครับ” เจ้ามือ กล่าว

“งั้นหรือ....ถ้าอย่างงั้น วันนี้ก็ช่วยทำงานให้ข้าหน่อยล่ะ”

“เดี๋ยวข้าจัดการให้”

“เห็นหนุ่มคนนั้นมั้ย ที่คิ้วเข้ม ๆ หน้าตาหล่อเหลาน่ะทำให้เขาได้กินทุกตา เข้าใจมั้ยทุกตาเลย”

“ได้ครับ ไม่ต้องห่วง”

“อึม....หึ ๆๆ”

“12 แต้ม”

“วู้...ได้อีกแล้ว...” พวกนักพนัน ร้องดีใจ

“อะไรกันนี่ มีเรื่องแบบนี้ได้ไง เฮ่อ ๆๆ คุณพระช่วย น้องชายคนนี้เพิ่งมาครั้งแรก แต่มือขึ้นอย่างเหลือเชื่อจริง ๆ เฮ่อ ๆๆ ช่างโชคดีอะไรขนาดนี้ เฮ่อ ๆๆ งั้นตานี้ ข้าจะขอแทง 12 ตามบ้าง แหม....ซี้ด....คงไม่ใช่พอถึงข้าก็....เฮ่อ ๆๆ เฮ่อ ๆๆ”

ด้านพีดัม แอบตามมุนโนออกไปนอกวัง เห็นเขาเดินอยู่แถวบ่อน ทำให้นึกแปลกใจ แต่ยังไม่ทันจะเดินกลับไปก็เห็นมีเซ็ง พาชุนชูมาเข้าบ่อนอีก จึงตามไปดู ก็รู้ว่าพวกเขาขี้โกง แอบลักไก่ จึงบอกให้ชุนชูรู้

มีซิลสอบถามซอวอนว่าตอนนี้คิมยูซิน ทำอะไรอยู่

“เห็นว่าเขากับองค์หญิงต๊อกมานต่างก็เก็บตัวเงียบทั้งคู่”

“ป่านนี้แล้ว คงไม่ใช่ไม่เข้าใจความหมายอีกนะ”

“น่าจะไม่ถึงอย่างงั้น”

“ที่จริงเขาก็พูดถูกเหมือนกัน ถ้าไม่ให้คิมยูซินเป็นผู้นำองครักษ์ เราก็ต้องเปิดเผยสัญญาให้เช่าที่ทำกิน”

“แต่ว่า ถ้าเราเปิดเผยจริง ชาตินี้ก็จะไม่ได้ตัวคิมยูซินมาเป็นพวก” ซอวอนกล่าว หลังจากนั้นคิมยูซินก็มาหามีซิล

“ท่านเซจู ข้าเป็นคนโง่ เก่งก็ไม่เก่ง ท่านยังให้เกียรติมาสนใจ ข้ารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่ว่าถ้าท่านต้องการตัวข้าไว้รับใช้คงมีเพียงทางเดียวเท่านั้น”

“ทำยังไง” มีซิล ถาม

“เชิญมาฆ่าข้าดีกว่า แล้วเอาศพข้าไปใช้แทน...สิ่งที่ท่านจะได้จากตัวข้า ก็คือร่างอันไร้วิญญาณ หาใช่ความสมัครใจของข้าไม่” คิม ยูซิน กล่าว

ฮูหยินคิม บอกกับคิมยูซินว่า เป้าหมาย ของมีซิล คือต้องการได้ตัวคิมยูซิน ให้ไปเป็นพวกนาง เลยต้องกดดันทุกวิถีทาง

“ที่จริงข้าก็รู้อยู่”

“เมื่อเจ้ารู้ก็ดี งั้นพ่อกับแม่....ก็จะไม่ตั้งเงื่อนไขใด ๆ กับเจ้า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้า แล้วแต่จะตัดสินใจ”

โซวา มาเข้าเฝ้าองค์หญิงต๊อกมาน

“ฮือ...องค์หญิง”

“คำพูดของท่านยูซิน ไม่มีผิดซักคำ... หึ...เส้นทางนี้ ข้าเป็นคนเลือกด้วยตัวเอง...ฮือ ...ฉะนั้น คำพูดของเขาทุกคำ จึงไม่มีผิด ฮือ.... ข้าไม่ควรเห็นแก่เขาคนเดียว จนยอมทิ้งราษฎร และบ้านเมือง ต่อให้ทำอย่างงั้นจริง ก็ไม่แน่ว่าจะได้ตัวเขามา ฮือ...ไม่แน่ว่าเขาอาจจะ...เลือกที่จะทิ้งข้ามากกว่า ข้าก็รู้ ฮือ....ข้ารู้”

“ยังไงก็ตามแต่องค์หญิง ต่อไปองค์หญิงคงต้องเก็บเขาไว้ในใจ ฮือ ได้แต่....เฝ้าดู แอบดูเงียบ ๆ คอยดูอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น” โซวา กล่าวทูล ขณะเดียวกันคิมยูซิน ก็มายืนรอหน้าตำหนัก เมื่อนางในถามว่าจะให้เข้าไปทูลขอเข้าเฝ้าให้ หรือไม่ คิมยูซิน เปลี่ยนใจไม่เข้าเฝ้า แต่เดินทางไปหามีซิล เมื่อนางในเข้าไปทูลองค์หญิงต๊อกมานว่าคิมยูซิน มารอแต่ไม่ยอมเข้าเฝ้า ทำให้องค์หญิงผิดหวัง

มุนโน มาหาพ่อค้าเจ้าเล่ห์ ที่ชื่อ ยอจง

“ท่านมารอนานหรือเปล่า”

“กลับมาแล้วหรือ....ได้ยินว่าไปที่ “แคยุนโพ” มา” มุนโน กล่าว

“ใช่ “พิลซอน” ก็กลับจากโกคูรยอเหมือนกัน ที่สำคัญมีข่าวใหม่มาด้วย จะให้ข้ารายงานเลยมั้ย”

“วันหลังค่อยพูดดีกว่า แต่ตอนนี้....ข้าอยากเขียนแผนที่สามแคว้นให้เสร็จเร็ว ๆ”

“แผนที่หรือ” ยอจง ถาม

“ใช่ เหลือแค่หน้าสุดท้ายเท่านั้น ทั้งหมดก็จะเสร็จเรียบร้อย”

“แต่ว่า ท่านเคยบอกว่าต้องใช้เวลาอีกซักพักไม่ใช่หรือ”

“แต่ตอนนี้ เจ้าของหนังสือเหมือนจะปรากฏขึ้นแล้ว”

“เจ้าของหนังสือหรือ หนังสือที่ท่านเขียนเอง จะมีเจ้าของได้ยังไง...เป็นคนที่ไว้ใจได้หรือเปล่า หนังสือที่ท่านรวบรวมด้วยความยากเย็น กลับยอมมอบให้คนอื่นง่าย ๆ หรือ” ยอจง กล่าว

“เขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์เถรตรง บางครั้ง ออกจะซื่อเกินไปด้วยซ้ำ”

“ที่แท้ก็มีนิสัยเหมือนท่านนั่นเอง”

“หึ ๆ ไม่เหมือนหรอก นิสัยข้าออกจะแข็งกร้าวเกินไป ไม่อาจทำให้คนอื่นมาภักดีต่อข้าได้...อีกอย่าง ข้ามักจะทำเพื่อศักดิ์ศรีและเกียรติของตัวเอง จนยอมหนีความจริงและหันหลังให้กับความอยุติธรรม แต่ว่าคน ๆ นี้ไม่เหมือนข้า”

“เขาเป็นยังไง”

“เป็นคนที่ยอมให้ตัวเองถูกประณาม ก็จะปกป้องวงศ์ตระกูลและชาวบ้านให้ถึงที่สุด” มุนโน กล่าวถึงคิมยูซิน

“หึ...หึ...หึ...ยู...ยูซินหรือ...ยู...ยูซิน หึ...” พีดัม กล่าว

“เขาเป็นคนดีขนาดนี้เชียวหรือ ในสายตาท่าน” ยอจง ถาม

คิมยูซิน ไม่ยอมทำร้ายชนเผ่าคาย่า จึงมาขอเป็นพวกกับมีซิล

“ทำงี้แปลว่าอะไร”

“ข้ามาขอความช่วยเหลือจากท่าน”

“ขอความช่วยเหลือหรือ”

“ใช่”

“จำได้ครั้งหนึ่งเจ้าเคยบอกว่าไงนะ ถ้า อยากได้ตัวเจ้ามา สิ่งที่ข้าจะได้เป็นแค่ร่างกาย” มีซิล กล่าว

“ถึงวันนี้ความคิดข้าก็ยังไม่เปลี่ยน”

“แล้วยังไง”

“เมื่อก่อน ท่านทำให้ชาวคาย่าถูกเนรเทศไปเมืองซังยางจู แต่คราวนี้ ท่านอาจบอก ว่าพวกเขาเป็นกบฏ แล้วไล่ล่าสังหารให้หมด”

“ใช่ อาจเป็นอย่างงั้น”

“จนวันนี้แม้ข้าจะยินดีตาย แต่ไม่กล้าพอที่จะเห็นชาวบ้านที่บริสุทธิ์ต้องมาตายเพราะข้า” คิมยูซิน กล่าว

“เพราะฉะนั้น เลยมาขอร้องข้าหรือ”

“ใช่ เพราะข้ารู้แล้วว่าตัวเองไม่ได้เก่ง ขนาดนั้น....เมื่อไม่อาจรับผิดชอบชีวิตคนอื่นได้ ก็ควรวางมือซะ...เพราะฉะนั้น ต่อไปข้าจะขอสวามิภักดิ์ต่อท่าน”

“ฮ่า ๆ...สวามิภักดิ์...ต่อข้าหรือ ถ้าตอนนี้ข้ายังสาวอยู่ จะรีบกอดเจ้าไว้ทันที ให้สมกับการรอคอยมานาน เฮ่อ ๆๆ....ถ้าอย่างงั้น เพื่อแสดงถึงความจริงใจที่ท่านยูซินมีต่อข้า จะยอมแต่งงานกับลูกหลานในสกุลข้าหรือเปล่า”

“ได้ ข้ายินดีแต่งงาน” คิมยูซิน กล่าว





..............จบตอนที่ 36............



วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 35



Queen Seon Deok ( 善德女王/ 선덕여왕)
เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 35
Cr. : Dailynews Online


ชิซูไม่พอใจการประลองเพราะเห็นว่าพีดัมไม่เอาจริง จึงสอบถามมุนโนในฐานะที่เป็นอาจารย์และเห็นว่าหน่อยองครักษ์ควรที่จะยุบได้แล้ว

“ข้ามุนโน ก็เป็นองครักษ์ที่ฝึกกระบี่มาชั่วชีวิต แต่การประลองคราวนี้ ยอมรับว่ายากจะชี้ขาด ...การประลองขององครักษ์ ถือเป็นงานที่มีเกียรติ ผลที่ออกมา ไม่ควรมีข้อกังขา ใด ๆ และตำแหน่ง ผู้นำองครักษ์ ก็ควรได้อย่างสมศักดิ์ศรี เพราะฉะนั้นข้า...จึงไม่ขอรับรองผลในรอบนี้...ท่านมีซิลในฐานะ “วอนฮา” องค์หญิงต๊อกมานในฐานะนายแห่งองครักษ์ องครักษ์ โฮแจวอนซังฮา ชิซู รวมทั้งข้ามุนโนอีกคน ทั้งหมด 5 คนนี้จะนำปัญหาที่เกิด ไปเข้าสู่ที่ประชุม”

“ทุกท่านที่เอ่ยนาม เชิญไปรอที่ห้องประชุมองครักษ์” โฮแจ กล่าว

ที่ห้องประชุมองครักษ์ เมื่อทั้ง 5 คน มาพร้อมในที่ประชุมการหารือก็เริ่มขึ้น

“เนื่องจากท่านชิซูและท่านมุนโนไม่รับรองผลการประลองที่ออกมา แล้วตอนนี้เราจะทำไงดี” โฮแจ กล่าว

“ก่อนอื่นข้าต้องขอบอกว่ารู้สึกละอายใจ จนไม่อาจสู้หน้าทุกท่านได้อีก” มุนโน กล่าว

“การประลองอันมีเกียรติ ทำไมถึงกลายเป็นความอัปยศได้ขนาดนี้” ชิซู กล่าว

“ที่จริงข้าก็เข้าใจความรู้สึกของลูกศิษย์ท่านมุนโนดีนะ...การประลองคราวนี้ เพื่อจะเลือกผู้นำองครักษ์ใหม่ ถ้าตอนนี้พีดัมเป็นฝ่ายชนะจริง งั้นพีดัม คิมยูซิน และโพจองก็เท่ากับต่างชนะคนละหนึ่งรอบ สุดท้ายคงต้องให้ทุกคนออกเสียงเป็นการชี้ขาด ซึ่งเขากับยูซินมีโอกาสจะไม่ถูกเลือกค่อนข้างสูง แต่เขาก็เป็นเพื่อนสนิทกับยูซิน ถ้าให้เพื่อนเป็นผู้บัญชาการองครักษ์ก็เหมือนเขาเป็น เองแล้วจะไม่ช่วยได้หรือ...ความคิดของเด็กที่อ่อนต่อโลก อย่าไปถือสาเขาเลย แต่ว่า ปัญหาอยู่ที่เขาไม่ให้ความสำคัญต่อท่านวอนซังฮา และท่านมุนโนมากกว่า” มีซิล กล่าว

ชุนชูมาปรากฏตัวที่ลานประลองและขอให้จุปังช่วยอธิบายว่าใครชื่ออะไรและเป็นใคร

“เอาน่าช่วยพูดอีกที”

“อีกทีอะไรเล่า พูดซ้ำหลายหนแล้ว จะให้ข้าเสียงแหบเสียงแห้งถึงพอใจหรือไง เอางี้จะพูดให้ฟังเป็นครั้งสุดท้าย ดูนะ ดูให้ดี คนนี้ชื่อยูซิน ส่วนคนนี้ชื่อพีดัม พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทกันอยู่ แต่ว่า ต่อให้พีดัมชนะก็เป็นผู้นำองครักษ์ไม่ได้เข้าใจมั้ย”

“เพราะฉะนั้น เลยแกล้งแพ้เพื่อให้อีกคนเป็นหรือ” ชุนชู ถาม

“ข้อนี้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน สรุปคือตอนนี้ผู้ใหญ่กำลังถกกันเครียด ก็แสดงว่างานนี้น่าจะมีพิรุธอยู่”

“แต่ว่า ถ้าสองคนนี้ทำผิดแล้วถูกตัดสิทธิ อีกคนที่ชื่อ...ท่านไอชองจะขึ้นมาแทนหรือเปล่า หา...”

“จะบ้าหรือ บอกว่าอีกคนชื่อโพจองต่างหาก มั่วไปไหนก็ไม่รู้”

“อ้อ...ใช่ ๆ โพจอง ๆ แล้ว...ตอนนี้ ... ท่านยูซินกับ...พี...พี...พีอะไรนะ”

“คนนี้น่ะหรือ ใช่ไหม คนนี้”

“ชื่อพี...”

“พีอะไร”

“ท่านบอกว่า...”

“พีดัม ๆ เรียกให้มันถูกหน่อย” จุปัง กล่าว

“รู้แล้วไม่ต้องตวาดก็ได้”

“โธ่เอ๊ย...”

“สรุปก็คือ...พีดัมคนนี้ แกล้งยอมแพ้เลยทำให้ถูกตัดสิทธิทั้งคู่ อย่างงั้นใช่ไหม”

“ก็บอกว่ายังไม่รู้ เค้ากำลังประชุมเครียด กันอยู่ในห้อง”

“ว่าแต่...เอ่อ...พีดัมคนนี้เป็นใครน่ะ ลูกชายท่านมีซิลใช่ไหม” ชุนชู ถาม

“โอ๊ย...ตายล่ะ คนเรานี่ เวรกรรม ยังหนุ่มยังแน่นทำไมความจำเสื่อมนัก ลูกชายนางคือโพจองต่างหาก แล้วพีดัม...เป็นลูกศิษย์ท่านมุนโน เข้าใจมั้ย เป็นลูกศิษย์ท่านมุนโนน่ะ”

“งั้นหรือ”

“อะไรกันนี่ อยากจะบ้า เฮ่ย...เอาเป็นว่าข้าจะพูดครั้งสุดท้าย ฟังให้ดีล่ะ”

“อืม ๆ ๆ”

“ลบทิ้งก่อนฟังให้ดีนะ สี่คนสุดท้ายที่เหลือก็คือ...ท่านไอชอง ท่านยูซิน พีดัม และท่านโพจอง และท่านโพจองคนนี้ก็เป็นลูกชายท่านมีซิล เข้าใจมั้ย ลูกชายน่ะ และลูกของนางคนนี้...หือ...” จุปังกล่าวยังไม่จบ ชุนชู เห็นแทนัมโพ เดินเข้ามาตาม หาตน จึงรีบหนีออกไปก่อน

โฮแจ เสนอให้คิมยูซินกับพีดัมถูกตัดสิทธิทั้งคู่ และให้คู่ของไอชองกับโพจองมาประลองแทน

“แม้ว่าพีดัมจะเข้าข่ายทุจริต แต่ท่านยูซิน ....ใช้ความสามารถจนผ่านเข้ารอบ ไม่มีอะไรให้เคลือบ แคลงซักนิด ไม่งั้นระหว่างที่เขาต่อสู้ พวกท่านเห็นพิรุธอะไรหรือเปล่า” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัสถาม

“ข้าดูออกว่า คิมยูซินสู้ด้วยความสามารถ เต็มที่” ชิซู กล่าว

“หม่อมฉันว่าองค์หญิงหวังจะให้คิมยูซิน ได้เป็นผู้นำองครักษ์ จนไม่นึกถึงความผิดถูกหรือเปล่า” มีซิล กล่าวทูล

“ท่านพูดจาระวังปากหน่อยนะ” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส

“เคยได้ยินภาษิตว่าปรบมือข้างเดียวไม่ดังหรือเปล่า องค์หญิงทรงให้พีดัมถูกคัดออกคนเดียวแล้วจะให้คิมยูซินชนะงั้นหรือ”

“แน่นอนว่าไม่ควรตัดสินให้คิมยูซินชนะง่าย ๆ” มุนโน กล่าว

“ข้าก็ไม่ได้คิดอย่างงั้นเหมือนกัน เพียงแต่เห็นว่าเมื่อเขาตั้งใจแข่งขันสำหรับงานนี้เต็มที่ จึงไม่ควรได้รับผลที่ไม่เป็นธรรม”

“ถ้าอย่างงั้นจะทรงทำไงดีล่ะ” มีซิล ทูลถาม

“ถ้าไงลองใช้วิธีนี้จะดีหรือเปล่า” ชิซู กล่าว

มุนโน ออกมาประกาศผลการหารือของผู้เกี่ยวข้อง โดยให้การประลองระหว่างพีดัมและคิมยูซิน ถือเป็นโมฆะ แต่พีดัมไม่เห็นด้วย เพราะหากคิดว่าตนทุจริตในการประลอง ก็ลงโทษตนคนเดียว ท่านยูซินได้ต่อสู้เต็มที่แล้ว

“พีดัมจงเงียบเดี๋ยวนี้ นี่เป็นความเห็นชอบของผู้ใหญ่...ที่สำคัญ ยังมีข้อตกลงบางอย่างออกมาดังนี้ ให้พีดัม...ถูกตัดสิทธิจากการประลองยุทธ หลังจากนี้ ค่อยพิจารณาโทษใหม่ ข้าขอสั่งให้ไปเก็บตัวสำนึกผิด ห้ามมาวุ่นวายในงานนี้อีก อีกอย่าง คิมยูซิน...จะให้ประลองฝีมืออีกครั้ง” โฮแจ กล่าว

“จะให้ประลองอีกหรือ แล้ว...จะสู้กับใคร” แทพุง ถาม

“สู้กับท่านไชองหรือ หรือว่าท่านโพจอง” โกโต กล่าว

“สองคนนั้นแพ้หมดแล้วนี่ จะให้โอกาสอีกครั้งหรือ” กุกซอน กล่าว

“นั่นสิ ไม่น่าเป็นไปได้” โกโต กล่าว

“คู่ต่อสู้ของคิมยูซิน...ก็คือท่านวอน ซังฮา ชิซู” โฮแจ กล่าว

“หา...ท่านชิซูหรือ...ไหงเป็นงั้น...นั่นสิ...” ทุกคนตะลึง

ชิซู บอกว่าตนเองจะใช้ท่าจู่โจมสิบครั้ง ถ้าคิมยูซินสามารถต้านรับทั้งหมดได้ ตนเองก็จะยอมรับชัยชนะของคิมยูซิน

“ถ้าหาก...คิมยูซินไม่สามารถต้านรับสิบกระบวนท่าไหว ผู้ชนะในรอบนี้ก็จะถือว่าไม่มี จากนั้นก็จะให้ผู้ชนะในรอบแรกคือโพจอง และผู้ชนะในรอบสองคือคิมยูซิน ให้ทุกคนช่วยกันลงคะแนนว่าใครเหมาะสมกว่า” โฮแจ กล่าว

“แค่นี้แหละ สุดท้ายโพจองก็คือผู้ชนะ” ซกพุง กล่าว

“ต่อไป จะเริ่มการประลองในรอบสุดท้าย คิมยูซิน...และท่านวอนซังฮา ชิซู เริ่มการประลองฝีมือ ณ บัดนี้”

คิมยูซิน ต่อสู้กับชิซู จนบอบช้ำล้มแต่ก็พยายามลุกขึ้น

“กว่าจะถึงรอบนี้ เขาน่าจะบอบช้ำสาหัส แล้วจะเอาอะไรไปสู้อีก” มีเซ็ง กล่าว

“ที่สำคัญ เห็นว่าต้องต้านการจู่โจมถึงสิบครั้งไม่ใช่หรือครับ” ฮาจอง ถาม

“เห็นจะยาก คิมยูซินคงไม่ได้เลื่อนขั้นง่าย ๆ หรอก ป่านนี้อาจจะช้ำไปทั้งตัวแล้ว ต้านไหวก็แปลกล่ะ” มีเซ็ง กล่าว

“นั่นสิครับ สุดท้ายก็ไม่พ้นยกตำแหน่งให้โพจองอยู่ดี” ฮาจอง กล่าว

“ต่อให้เป็นความคิดของพีดัมคนเดียว แต่นี่คือการประลองอันทรงเกียรติก็ถือว่าเขารนหาที่ล่ะ เล่นกะใครไม่เล่น ฮึ...” มีเซ็ง กล่าว

“ดีที่สมัยท่านน้าไม่มีการประลองแบบนี้ ไม่งั้น ท่านคงไม่ได้เป็นผู้นำองครักษ์กะเค้าง่าย ๆ” ฮาจอง กล่าว

“นี่แปลว่าเจ้าดูถูกข้าใช่ไหม หา...” มีเซ็ง ถาม

“อ้อ...ข้าทนไม่ไหวแล้ว ขอไปดูของจริงดีกว่า ไปนะครับ” ฮาจอง กล่าว

“หน็อย...เจ้าหมอนี่”

คิมยูซิน ต่อสู้กับชิซู จนครบ 10 ท่า โฮแจ กำลังจะประกาศให้ คิมยูซิน เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่ชิซู กลับพูดขัดขึ้น

“ผู้พ่ายแพ้คือข้า...เมื่อกี้ท่าสุดท้ายของเขา โดนตรงนี้ของข้า...ถ้าเขาใช้กระบี่จริง ป่านนี้คงทะลุถึงข้างในแล้ว ฉะนั้นข้าจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ คิมยูซิน...เป็นผู้ชนะ”

“หา...จริงหรือ...ไชโย...เย้...ท่านยูซิน ชนะแล้ว...เย้...วู้...” ทุกคนดีใจ

“ท่านยูซิน ฮือ ๆ ๆ ฮือ ๆ”

ฮาจอง ไม่เข้าใจการกระทำของชิซู จึงเข้าไปสอบถามว่าอยู่ดี ๆ ทำไมจึงยอมแพ้

“ถ้าแพ้แล้วไม่กล้ายอมรับ จะคู่ควรเป็นองครักษ์ได้ไง” ชิซู กล่าว

“เฮอะ...อยากจะบ้าตาย โอ๊ย...”

“เฮ่ย...เสียดายข้าไม่ได้ไปดูเอง” มีเซ็ง กล่าว

“นี่แปลว่า คิมยูซินได้เป็นผู้บัญชา การองครักษ์จริงหรือนี่ แบบนี้ก็แย่น่ะสิ” เซจอง กล่าว

“นั่นสิครับท่านพ่อ แต่ละคนยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ข้าล่ะกลุ้มใจนักเชียว เฮ่ย...”

“หึ...เจ้าห่วงตัวเองไว้ก่อนจะดีกว่ามั้ง เฮ่ย...” มีเซ็ง กล่าว

ซอวอนเรียกโพจองมาตำหนิ ที่เขาได้ไปสนับสนุน คิมยูซินในการต่อสู้กับชิซู

“เพราะข้าเป็นองครักษ์ ไม่ว่าใครก็ตาม ถ้าเป็นองครักษ์แล้วเห็นเหตุการณ์ตอนนั้น คงมีความคิดไม่ต่างจากข้า”

เมื่อเสร็จสิ้นการประลองจุปังได้ไปหาชุนชู และเล่าเรื่องการประลองในวังให้ฟัง

“ตอนนี้ก็คือ....มีพวกหนึ่งที่ภักดีต่อท่านมีซิล แต่ก็มีอีกกลุ่มที่ภักดีต่อองค์หญิงต๊อกมาน เพราะฉะนั้น ถ้าท่านยูซินของเราได้เป็นผู้นำองครักษ์...”

“หมายความว่า ทีแรกท่านยูซินที่ท่านว่า เป็นพวกเดียวกับท่านมีซิลงั้นหรือ”

“ไม่ใช่ ตั้งใจฟังหน่อยได้ไหม ท่านยูซิน อยู่ฝ่ายองค์หญิงต๊อกมาน ส่วนโพจองเป็นลูกท่านมีซิล พูดไม่รู้จักจำ...เอ่อ...เฮ่ย... เดี๋ยว ๆ ๆ แหม...เอางี้ เจ้าท่องตามข้านะ ท่องแล้วจำดี ๆ ท่านยูซินเป็นคนขององค์หญิงต๊อกมาน”

“ท่านยูซินเป็นคนขององค์หญิงต๊อกมาน”

“ถูกต้อง โพจองเป็นลูกท่านมีซิล”

“โพจองเป็นลูก...เป็นลูกท่านมีซิล”

“ถูกต้อง เอางี้ ลองท่องเอง ท่องให้ข้าฟังอีกที”

“ได้ คือ...ท่านยูซิน...”

“อึม ๆ ๆ”

“เป็นคนขององค์หญิงต๊อกมาน” ชุนชู กล่าว

“ใช่ ถูกต้อง แล้วไงอีก”

“ท่านโพจอง...เป็นลูกท่านมีซิล”

“ถูก ๆ ๆ ความจำใช้ได้แล้วทำงงเต๊กทำไม เดี๋ยว ขอเก็บก่อน แหะ...นี่...ถ้ามีค่าน้ำร้อนน้ำชาให้อีก ข้าจะเล่าความลับขององค์หญิงต๊อกมานให้ฟังสนใจมั้ย”

“หา...”

“ความลับเชียวนะ ลับสุดยอดเลยล่ะ ว้าย...ดี ๆ ๆ”

“เฮ้ย...นั่น...”

“องค์หญิงต๊อกมาน สมัยก่อนนึกว่านางในที่เลี้ยงนางมาเป็นแม่แท้ ๆ”

มีซิล คิดกังวลเรื่องคิมยูซิน ที่จะได้เลื่อนตำแหน่งใหม่

“ใช่ ข้าก็อดคิดเรื่องของเขาไม่ได้ ความอดทนและมุ่งมั่นในการต่อสู้ของเขา ทำให้ข้านึกถึงตัวเองในสมัยพระเจ้าจินฮึง มุนโน ท่านเซจู และข้า ยังมีซาตาฮัมอีกคน ตอนนั้นทุกคนยังหนุ่มยังสาวอยู่” ซอวอน กล่าว

“ใช่ ข้าก็มีความรู้สึกอย่างงั้น แต่ว่า ปัญหาสำคัญคือตอนนี้ สิ่งที่เราสองคนเคยประสบมา ตอนนี้ทุกคนก็ได้รู้ซึ้งหมด โดยเฉพาะ ยิ่งผ่านการประลองคราวนี้จะทำให้คิมยูซิน ยิ่งมีความแข็งแกร่งมากขึ้น” มีซิล กล่าว

มุนโนมาบอกผลการประลองให้พีดัมรู้จากนั้นก็สั่งให้เก็บของเพื่อไปกับตนเอง

“ท่านคิดจะตัดขาดกับข้าอยู่แล้ว...แต่วันก่อนจำใจยอมรับ เพราะข้าจะเข้าประลองให้ได้ ท่านเลยต้องบอกว่าข้าเป็นลูกศิษย์”

“ไม่เอาไหนจริง ๆ” มุนโน กล่าว

“ข้าไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด องค์หญิงต๊อกมานและท่านยูซิน รวมทั้งอาจารย์จะทำงานใหญ่ คืออะไรแน่ และเทียบกับงานใหญ่นั้น แค่ประลองยุทธ์จะมีความหมายอะไร...ถ้า ประลองไปตามขั้นตอน คิดว่าท่านยูซินจะชนะข้าได้หรือ...ถ้าเขาแพ้ แล้วผลจะออกมายังไง ท่านยูซินชนะ ท่านโพจองชนะ ยังมีข้า...ที่ ชนะอย่างไร้ความหมาย สุดท้ายโพจองก็จะได้ตำแหน่งนี้ไป”

“แล้วยังไง”

“คำว่างานใหญ่ เป้าหมายก็คือทำเพื่อราษฎร เมื่อมีเป้าหมายแล้ว จะอ้อมค้อมทำไมให้เสียเวลาอีก เพื่อเห็นแก่หลักการและศักดิ์ศรีอันน้อยนิด แล้วจะมองข้ามความสำคัญของราษฎรได้หรือ”

“หึ...เห็นทีเจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมากนัก และข้าก็ต้องสอนเจ้าเยอะด้วย...จุ๊ ๆ ๆ”
“ข้าจะไม่ฟังคำสั่งท่านอีกแล้ว จะตัดขาดก็เชิญ เพราะข้ารู้ว่าทำให้ท่านอับอาย ในฐานะเป็นศิษย์ท่าน กลับทุจริตต่อการประลองยุทธ์ขององครักษ์” พีดัม กล่าว

“เมื่อกี้ข้าบอกแล้วว่า ยังต้องสอนเจ้าอีกหลายอย่าง จึงไม่คิดตัดขาดกับเจ้าตอนนี้”

“หา...”

“ตามข้ามา เจ้าบอกว่าเพื่องานใหญ่จะเดินทางลัดยังไงก็ได้ใช่ไหม...เจ้ามันไม่มีหัวคิด คำว่างานใหญ่ก็คือต้องฟันฝ่าอุปสรรรคร้อยแปด ที่สำคัญ ต่อให้เจ้าตั้งใจสู้จริง จะชนะคิมยูซินได้หรือเปล่า ข้าก็ยังไม่รู้แน่”

พีดัมออกมาพบมีซิล นางได้พูดสั่งสอน

“เดิมทีนึกว่า เจ้าเป็นคนฉลาดซ้ำยังวางแผนเก่ง...แต่การหลงตัวเองที่นึกว่าไม่มีใครสู้ได้คือจุดอ่อนข้อหนึ่ง...มองข้ามประสบการณ์และความชำนาญของผู้ใหญ่อย่างชิซูและมุนโนคือจุดอ่อนข้อที่สอง”

“ท่านคิดว่าความผิดพลาดที่เกิดเพราะความหยิ่งยโสของข้าหรือ”

“ที่สำคัญกว่านั้น ยังมีข้อที่สาม...ข้าเห็นบางอย่างในแววตาเจ้า ที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและเห็นแก่ตัว เหมือนชายหนุ่มที่มองเห็นหญิงที่ตัวเองหมายปอง อยากบอกนางว่า ตัวเอง พร้อมจะทำเพื่อนางได้ทุกอย่าง แม้แลกด้วยชีวิตก็ตาม หึ ๆ ๆ...หรือไม่ก็...เหมือนเด็กขาดความ อบอุ่นที่หวังเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ ยังไงอย่างงั้น”

พีดัมมาเข้าเฝ้าองค์หญิงต๊อกมาน ทูลขอโทษและตนเองได้สำนักผิดแล้ว

“อย่าหัวเราะ...เจ้าเคยบอกว่าจะเห็นข้าเป็นนาย แต่แล้วกลับขัดคำสั่งข้า...ถ้าวันหลังมี เรื่องแบบนี้อีก ข้าจะไม่ขอเห็นหน้าเจ้า”

“หม่อมฉันยอมรับว่าไม่ทันคิด แต่จะไม่ให้เกิดซ้ำอีก ขอทรงอภัยด้วย”

“ข้าไม่เหมือนแต่ก่อนอีก จึงอยากให้เจ้า...รักษาคำพูดให้ดี ข้าบอกแล้วว่าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า”

“พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันรับรองจะไม่ให้เกิดอีก”

“อาการบาดเจ็บเป็นไงบ้าง”

“หึ...แค่นี้ไม่ระคายผิว เฮ่อ ๆ แต่พูดก็พูด ท่านยูซินก็ช่างอึดนัก ทำเอาใครต่อใครนับถือ ความใจเด็ดของเขามาก ตกลงเขาได้เป็นผู้นำองครักษ์แล้วใช่ไหม”

“ทุกคนที่ได้เห็นการประลอง คงไม่มีใคร ...ไม่ยอมรับความใจเด็ดของเขา”

“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันยังห่วงว่าเขาจะถูกตัดสิทธิเพราะหม่อมฉันซะอีก น่าเสีย ดายไม่ได้เห็นการต่อสู้ของเขา”

ชุนชู นำเงินที่ตนมีอยู่แจกจ่ายให้กับคนที่สามารถเล่าเรื่องต๊อกมานให้ตนเองฟัง จนได้รู้ว่านางเป็นใคร ด้านแทนัมโพ กลับมาถึงเมืองหลวง ก็รีบเข้ารายงานมีเซ็ง

“หือ...พูดแบบนี้หมายความว่าไง เขาหายไปงั้นหรือ” มีเซ็ง ถาม

“เขาบอกว่า จะขอพักผ่อน เลยให้ไปพักในโรงเตี๊ยมน่ะครับ”

“เจ้านี่มันแย่นัก ทำงานไม่เคยได้เรื่องซักอย่าง เฮ่อ...ในเมื่อข้ามเขากึมอูมาได้ เมืองหลวงก็อยู่แค่เอื้อม ต่อให้พักนานแค่ไหนป่านนี้ก็น่าจะถึงแล้ว...”

“แต่ว่า นั่นเป็นเพราะคุณชาย...สรุปคือ เขาเป็นคนที่แปลกน่ะครับ”

“แปลว่าเจ้าทำถูกหรือ...ทำไงก็ได้พาเขากลับมาเดี๋ยวนี้ ถ้ายังหาไม่เจออีก ไม่ต้องถึงท่าน มีซิลหรอก คราวนี้ข้าจะลงโทษเจ้าด้วยตัวเอง”

“ครับ ท่านพ่อ”

“อีกอย่าง เจ้าทำตามที่ข้าสั่งหรือเปล่า ตกลงไปพูดกับคุณชาย...เหมือนที่สอนหรือเปล่า” มีเซ็งถาม เพราะอยากรู้ว่าแทนัมโพได้คุยกับชุนชูเรื่องที่เขาได้ลอบยิงชอนมยองหรือไม่

เมื่อรู้ว่า แทนัมโพกลับมาถึงเมืองหลวง แล้ว ไอชองก็รีบไปหา

“แทนัมโพ คิดว่าเราสองคนมีเรื่องต้อง สะสางอีก การสิ้นพระชนม์ขององค์หญิงชอนมยอง หึ...เป็นอุบัติเหตุใช่ไหม แต่ว่าต่อให้คนทั้งโลกเชื่ออย่างงั้น เจ้ากับข้า...ก็น่าจะรู้แก่ใจดี...แล้วทำไมจนวันนี้เจ้ายังอยู่อีก ตามหลักน่าจะฆ่าตัวตายไปแล้ว”

“แล้วจะเอาไงกับข้า” แทนัมโพ ถาม

“เมื่อวานข้าเพิ่งผ่านการต่อสู้อย่างหนักมา ร่างกายยังไม่ค่อยดีนัก ถ้าถือโอกาสมาฆ่าข้าซะ จะเป็นผลดีต่อเจ้าหรือเปล่า”

“เราเป็นองครักษ์ จะให้มาฆ่ากันข้างนอกนี่หรือ”

“แต่องค์หญิงชอนมยอง เป็นเชื้อพระวงศ์ กลับสิ้นพระชนม์อยู่ในป่าเขา”

“อยากพบข้าใช่ไหมไปกันได้แล้ว” ชุนชู เข้ามาขัดจังหวะ

“หา....ท่านไปไหนมาน่ะครับ ข้าตามหาตั้งนานแน่ะ” แทนัมโพ กล่าว

“ท่านเป็นใครไม่ทราบ ข้ามีเรื่องต้องสะสางกับเขาอีก” ไอชอง ถาม

“ที่พวกท่านจะสะสางนั้น ก็คือ....เรื่องที่เคยบอกให้ข้ารู้ใช่ไหม”

“เอ่อ....”

“ถ้าเป็นเรื่องนี้จริง ข้าอโหสิให้เขานานแล้ว” ชุนชู กล่าว

“ไม่ทราบว่าท่านคือ...” ไอชอง ถาม

“ยังไม่รีบคำนับอีก เขาคือโอรสขององค์หญิงชอนมยอง คุณชายชุนชู” แทนัมโพ กล่าว

โซวาเข้ามาทูลรายงานองค์หญิงต๊อกมาน ว่า คุณชายชุนชู กลับมาแล้ว องค์หญิงจึงรีบเสด็จไปที่ตำหนักพระเจ้าจินพยอง แต่เมื่อไปถึงก็พบว่าสวนทางกับชุนชู ที่ได้ออกไปหานางที่ตำหนักแล้ว องค์หญิงจึงรีบเสด็จกลับไปที่ตำหนักของตนเอง

“เจ้า...ก็คือชุนชูหรือ...หึ...ข้า...หึ...ข้าก็คือ...น้าของเจ้า เป็นน้องแท้ ๆ ขององค์หญิงชอนมยอง แม่ของเจ้า”

“ข้าคือชุนชู”

“พี่หญิง ฮือ...ฮือ...เจ้าคือ...ชุนชูจริงหรือ ฮือ...ลูกของพี่หญิงชอนมยอง ก็คือเจ้า ฮือ... ฮือ...” องค์หญิงต๊อกมาน คิด

“ทำไมต้องมาอยู่ห้องนี้ ในตำหนักยังมีห้องว่างอีกมาก”

“เอ่อ...หึ...เฮ่อ...ใช่ นี่เป็นห้องนอนของแม่เจ้า ถ้าเจ้าไม่ชอบ ข้าย้ายไปห้องอื่นก็ได้ หึ ...ได้ยินว่าเจ้าไม่ค่อยแข็งแรง ตอนนี้สุขภาพเป็นไงบ้าง เดินทางมาตั้งไกล รู้สึกเหนื่อยหรือเปล่า ...สิ่งที่แม่เจ้าไม่ได้ทำให้เจ้า ข้าจะทำแทนให้หมด ข้าจะเป็นตัวแทนพี่หญิง...”

“หลายวันนี้เมืองหลวงหิมะตกหนัก ไม่รู้ว่าลูกจะเป็นไงบ้าง วังหลวงอันใหญ่โต ผู้คนมากมาย แต่ไม่มีใครที่แม่อยากพบ จิตใจของแม่รู้สึกหนาวเหน็บกว่าอากาศ วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้า ถ้าหาก...แม่ได้เห็นเจ้าเติบโต ฉลองวันเกิดให้คงจะดีไม่น้อย...”

“เสื้อผ้าที่ฝากคณะทูตไปให้ ไม่รู้ว่าใส่ได้หรือเปล่า แม้ฝีมือจะหยาบ แต่เห็นแก่ความตั้งใจของแม่เจ้าจงใส่หน่อยเถอะนะ แล้วไปทำในสิ่งที่เจ้าหวัง ไม่ต้องห่วงทางนี้ เผื่อปีหน้า แม่จะให้เจ้ากลับมา แม่คิดถึงเจ้าเหลือเกิน ชุนชู...ปีหน้า...ปีหน้า...และปีหน้า...ใหม่ ๆ ข้าเคยคิดว่ายิ่งนานวัน จะไม่ได้เห็นแม่หรือเปล่า จากนั้นก็กลายเป็นความโกรธ คิดว่าวันไหนถ้าได้พบ ข้าคงจะโกรธนางมาก”

“ชุนชู...”

“แต่แล้ว ตอนนี้คนที่จะโกรธก็ไม่อยู่ นึกดูก็น่าสบายใจเหมือนกัน”

“คือ...ชุนชู เจ้าฟังข้าพูดนะ”

“ได้ยินว่าทุกวันนี้ ท่านอธิษฐานขอพรให้แม่ข้าทุกวันจริงหรือเปล่า...ที่สำคัญ เมื่อกี้ยังบอกว่า จะดูแลข้าอย่างดีแทนแม่ด้วยใช่ไหม”

“เอ่อ...ถึงข้าจะไม่เอาไหน แต่จะเป็นตัวแทนแม่เจ้า ช่วยดูแล...” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส

“ตอนนี้ ข้ามีเรื่องบางอย่างจะพูดกับท่าน อย่าคิดอาศัยบารมีแม่ข้า ที่สำคัญ คนที่จะมาแทนองค์หญิงชอนมยอง แม่ของข้า ไม่ใช่องค์หญิงต๊อกมานอย่างท่าน แต่เป็นข้า...คิมชุนชูต่างหาก...เฮ่อ...ที่สำคัญ องค์หญิงต๊อกมานไม่สามารถแทนที่องค์หญิงชอนมยอง ในการเป็นแม่คนได้...เฮ่อ...ได้ยินว่าเมื่อก่อนองค์หญิงต๊อกมานก็เหมือนอย่างข้า เดินทางมาจากที่ ๆ แสนไกล ท่านมาด้วยจุดประสงค์อะไรไม่ทราบ รวมทั้ง...ที่ข้ากลับมาชิลลา เพื่อต้องการอะไร” ชุนชู กล่าวถาม

ชุนชูจะให้แทนัมโพพาไปเปิดหูเปิดตาให้ทั่วเมืองหลวง แต่มีเซ็งเข้ามาขัดจังหวะ

“ท่านนี้คือคุณชายชุนชู” แทนัมโพ แนะนำ

“อ้อ...คุณชาย เดินทางมาไกลคงจะเหนื่อยมาก ข้าน้อยชื่อมีเซ็งน่ะครับ...เฮ่อ ๆๆ ถ้าไงข้าจะนำทางให้”

“อึม...”

มีซิล บอกกับซอวอนว่าตนเองเป็นมนุษย์ที่โลภมากนัก

“ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูด”

“ขนาดมีคนอย่างท่านอยู่ข้างกาย จะบอกว่าไม่มีใครเหลียวแลข้าก็ไม่ถูกน่ะนะ”

“ขอบคุณที่ชม” ซอวอน กล่าว

“แต่ว่า ข้ายังอยากได้หลายคนมาเพิ่มอีก...พรุ่งนี้จะมีพิธีแต่งตั้งแล้วใช่ไหม”

“ใช่ ทุกอย่างที่เกี่ยวกับคิมยูซิน เราได้เตรียมพร้อมตามที่ท่านสั่ง”

“แหะ ๆ พี่ใหญ่ เฮ่อ ๆๆ” มีเซ็ง เข้ามา

“ชุนชูกลับมาแล้วหรือ” มีซิล ถาม

“ใช่ครับพี่ใหญ่ ข้าเพิ่งไปคุยกับเขามาและวางแผนพาเขาไปเที่ยว จากนั้นค่อยให้ท่านไปเจออีกที”

“งั้นก็เอาตามนี้”

“เฮ่อ ๆๆ แต่ก็แปลก ไม่รู้ว่าแทนัมโพไปทำอะไรให้ชุนชูถูกใจนักหนา จนตอนนี้ แทบไม่เอาใคร เรียกหาแต่ลูกชายข้าคนเดียว เฮ่อ ๆ ๆ แหม...ไม่น่าเชื่อ”

“เป็นอย่างงั้นจริงหรือ”

“อึม...เฮ่ย...หึ ๆๆ แหม...เหลือเชื่อ จริง ๆ หึ ๆๆ”

ที่ห้องประชุมขององค์รักษ์ได้มีพิธีแต่งตั้งคิมยูซินอย่างเป็นทางการ

“องครักษ์ยูซิน คำนับองค์หญิงและ ทุก ๆ ท่าน”

“บัดนี้ ถึงเวลาแห่งการแต่งตั้ง ผู้บัญชาการองครักษ์คนที่ 15 ของเรา” โฮแจ ประกาศ

“การประลองเพื่อคัดเลือกผู้บัญชาการองครักษ์คนใหม่ในปีนี้ ได้ผ่านการทดสอบถึงสามอย่าง กว่าจะรู้ผลแพ้ชนะ” มุนโน กล่าว

“ใช่ และองครักษ์ยูซิน หลังจากผ่านการทดสอบตามขั้นตอนถึงสามรอบ ได้รับชัยชนะถึงสองครั้ง” ชิซู กล่าว

“ด้วยเหตุนี้จึงถือว่า เหมาะแก่ตำแหน่งผู้นำองครักษ์คนใหม่” ยองชุน กล่าว

“ใช่ แน่นอนอยู่แล้ว คิมยูซินต่อสู้ด้วยความมุ่งมั่นเต็มกำลัง เท่ากับว่า ได้สร้างความน่าเชื่อถือให้แก่หน่วยองครักษ์ แต่ก่อนจะรับตำแหน่ง ข้าอยากถามเรื่องหนึ่งให้หายข้องใจ ชาวคาย่าซึ่งเคยอาศัยอยู่ทางทิศใต้ของชิลลา ได้ถูกเนรเทศไปเมืองซังยางจู...จำนวนประชากรซึ่งไปอยู่เมืองซังยางจูนั้น ตอนนี้เหลืออยู่เท่าไหร่ไม่ทราบ” ซอวอน ถาม

“ท่านซอวอน พูดแบบนี้หมายความว่าไงกันแน่” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส

“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง การจะเป็นหัวหน้าองครักษ์จำเป็นต้องตอบข้อสงสัยให้ชัดเจนก่อน ดำรงตำแหน่ง เพราะมีรายงานมาว่า ผู้อพยพชาวคาย่าส่วนใหญ่ ได้ไปอยู่ในที่ดินซึ่งสกุลคิมได้ครอบครอง ท่านยูซิน ตอนแรกที่ชาวคาย่าถูกเนรเทศออกจากแคว้นเรา ไม่แค่เป็นบัญชาสวรรค์อย่างเดียว แต่ยังสงสัยว่าพวกเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มโพยาด้วย” ซอวอน กล่าว

“จริงหรือนี่...เกี่ยวข้องกับกลุ่มโพยา... แล้วทำไงดี...” พวกขุนนาง ตกใจ

“แล้วทำไมจู่ ๆ ไปอยู่ในเขตปกครองของสกุลคิมได้ ที่สำคัญ ตรงกับช่วงเวลาที่กลุ่มโพยามีความเคลื่อนไหว แบบนี้จะหมายความว่าไง ท่านในฐานะเป็นทายาทผู้ครองชนเผ่าคาย่า เกี่ยวกับเรื่องที่เกิด พอจะให้คำ ตอบแก่ข้าได้ไหม” ซอวอน ถาม




.............. จบตอนที่ 35............



วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 34



Queen Seon Deok ( 善德女王/ 선덕여왕)
เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 34
Cr. : Dailynews Online


มีเซ็งรีบกลับมารายงานมีซิลว่าพีดัมได้โผล่ไปที่ลานประลองยุทธ์บอกว่าจะขอประลองฝีมือกับพวกองครักษ์

“มันมีสิทธิอะไรเข้าประลอง เห็นว่าเป็นเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าไม่ใช่หรือ” เซจอง ถาม

“ถ้าเป็นศิษย์มุนโนก็เท่ากับเป็นองครักษ์คนหนึ่ง จะเข้าประลองก็มีสิทธิเหมือนกัน” ซอวอน กล่าว

“ถึงเขาอยู่กับท่านมุนโนก็จริง แต่ใครจะรู้ว่าเป็นลูกศิษย์หรือลูกจ๊อก ไม่เคยมีชื่อในสารบบด้วยซ้ำ ฮึ่ม....” ฮาจอง กล่าว

โฮแจ บอกกับพีดัมว่าไม่มีสิทธิเข้า ร่วมประลอง เพราะพีดัมไม่ได้เป็นองครักษ์ ขั้นหนึ่ง

“ข้ามีสิทธิแน่นอน เพราะท่านมุนโน คืออาจารย์ข้า....ทุกวันนี้ข้าจะมีลูกน้องติดตามเหมือนคนอื่นก็ได้ จึงมีสิทธิเข้าประลองเท่า กับองครักษ์ขั้นหนึ่ง ฉะนั้นข้าจึงมาขอร่วมประลองยุทธ์ โปรดอนุญาตด้วย”

“แต่ว่างานนี้เราอนุญาตให้องครักษ์จากหน่วยต่าง ๆ 32 คนมาประลอง และได้ครบตามจำนวนแล้ว ต่อให้เจ้ามีสิทธิจริง ก็ถือว่ามาช้าไป”

“ใช่ครับ ทำแบบนี้มันไม่ถูก หมอนี่ทำอะไรไม่เคารพกฎเกณฑ์บ้าง....พวกเราทั้งหมดในที่นี้ ต้องผ่านการคัดเลือก กว่าจะมีสิทธิเข้าร่วมประลองในวันนี้ ที่สำคัญ บอกว่าเป็นศิษย์ท่าน มุนโน ก็เป็นคำพูดของเขาฝ่ายเดียว....อีกอย่าง ต่อให้เป็นศิษย์ท่านมุนโนจริง ยังไงก็คือผิดกฎอยู่ดี....ออกจากที่นี่ไปซะ” องครักษ์อีกคนกล่าว พีดัมจึงกล่าวไล่องครักษ์คนนั้นไป แต่องครักษ์ไม่พอใจจนเกิดการต่อสู้กันพีดัมฝีมือดีกว่าจึงทำให้องครักษ์ได้รับบาดเจ็บ

“คนนี้ดูท่าจะไม่ไหว ถ้าไงให้ข้าแทนเขาได้ไหม” พีดัม กล่าว

“อะไรนะ เจ้ากล้ามาก่อเรื่องในงานสำคัญของเราเชียวหรือ” โฮแจ กล่าว

“แต่ทุกคน....ไม่ได้เห็นกับตาหรอกหรือ.... ว่าหมอนี่....ชักกระบี่ใส่ข้าก่อนน่ะ” พีดัม กล่าว

จุปัง และโกโต มารายงานเรื่องพีดัมให้มุนโนรู้

“เป็นความจริงหรือนี่” มุนโน ถาม

“จริงครับ คือ....ท่านรีบไปดูเถอะ จะได้รู้ว่าใช่หรือไม่ใช่ เพราะเขาอ้างว่าเป็นลูกศิษย์ท่านน่ะครับ” จุปัง กล่าว

“ใช่ครับ อยู่ดี ๆ ก็โผล่มา บอกว่าจะร่วมการประลองฝีมือด้วย” โกโต กล่าว

“ใช่”

“ลูกศิษย์ข้า....พีดัมน่ะหรือ”

“ครับ เขาบอกว่าเป็นลูกศิษย์ท่าน แถมยังว่า มีฐานะเท่ากับองครักษ์คนหนึ่งจึงมีสิทธิเข้าประลองน่ะครับ” จุปัง กล่าว

มุนโนรีบมาที่ลานประลองเมื่อเห็นว่าพีดัมอยู่กับพวกองครักษ์ก็เข้าไปถาม

“มีปัญหาอะไรกัน”

“คน ๆ นี้ อ้างว่าเป็นลูกศิษย์ท่าน จะมาขอร่วมประลองยุทธ์ด้วยน่ะครับ” โฮแจ กล่าว

“ถ้าเป็นศิษย์ท่านจริง ก็มีสิทธิประลองโดยชอบธรรมอยู่แล้ว ขอเพียงท่านยืนยันให้ชัด แล้วเราค่อยอนุญาตอีกที” ชิซู สั่ง

“หนุ่มคนนี้ เป็นลูกศิษย์ท่านจริงมั้ยครับ” โฮแจ ถาม

“เจ้าตัวแสบนี่....เจ้าตัวแสบ....” มุนโน คิดในใจ

“วันนี้ ไม่ว่ายังไง ข้าก็จะประลองให้ได้” พีดัม คิด จากนั้นมุนโนก็ยอมรับว่าพีดัมเป็นศิษย์ตนเองจริง

“ในจำนวนผู้เข้าประลองทั้งหมด ให้องครักษ์นิรนามพีดัม....แทนที่ “ซองโก” แห่งหน่วย “ชองกึม” เข้าร่วมประลองได้” โฮแจ กล่าว

“ขอบคุณท่านเป็นอย่างมาก” พีดัม กล่าว จากนั้นโฮแจก็ให้ผู้เข้าร่วมประลองจับหมายเลขและการประลองฝีมือรอบแรกจะมีขึ้นในตอนเที่ยง

มีเซ็งรายงานต่อมีซิลว่า แทนัมโพส่งข่าวมาว่าอีกไม่นานจะมาถึงเมืองหลวงแล้ว

“อีกไม่นานคือเมื่อไหร่”

“เอ่อ....” มีเซ็งบอกไม่ได้

“พักก่อนก็ได้ยินว่าอีกไม่นานแต่จนแล้วจนเล่าก็ไม่เห็นกลับมาซะที”

“เอ่อ....ก็....นั่นสิครับพี่ใหญ่ ฮึ่ม....ไม่ ต้องห่วง รอมันกลับมาเมื่อไหร่ข้าจะหวดให้หนักเชียว เจ้าลูกคนนี้ ฮึ่ม...”

“ท่านเซจูครับ....ท่านเซจู การประลองรอบที่หนึ่ง จะเริ่มในตอนเที่ยงนี้แล้วครับ” องครักษ์ เข้ามารายงาน

“แล้วเจ้าหนุ่มพีดัมว่าไงบ้าง” ซอวอน ถาม

“เอ่อ....ท่านมุนโนไปด้วยตัวเอง ยืนยันว่าเป็นลูกศิษย์จริงครับ”

“งั้นหรือ” มีซิล ถาม

“ถึงเป็นลูกศิษย์แล้วทำไม ผู้เข้าแข่งขัน 32 คนก็ได้ครบแล้วนี่” เซจอง กล่าว

“ใช่ครับ ครบแล้วก็จริง แต่หมอนั่นสู้กับองครักษ์คนหนึ่ง แค่พริบตาไม่ทันดู ก็เล่นงานองครักษ์นั่นจนหงายเก๋งไปเลย สุดท้าย เลยได้แทนที่คนหงายเก๋งน่ะครับ”

“ซี้ด....คงไม่ใช่ตาแก่มุนโน จะมาเล่นตลกอะไรอีกล่ะ บอกว่าเป็นลูกศิษย์ แต่รู้เห็นเป็นใจมาแต่แรกแล้ว” ฮาจอง กล่าว

“ท่านมุนโน จะไม่ทำอะไรที่ซับซ้อนแบบนี้” ซอวอน กล่าว

“ฮึ่ม....ท่านรู้ได้ไง” ฮาจอง ถาม

“แต่ว่า ข้าจะไปสืบดูเอง” ซอวอน กล่าว

พีดัม ทูลองค์หญิงต๊อกมานว่าเมื่อถึงเวลาประลอง ตนเองจะทำให้ผลออกมาอย่างที่องค์หญิงต้องการ คิมยูซินจะได้เป็นผู้นำองครักษ์ ด้านเหล่าองครักษ์เมื่อเห็นฝีมือของพีดัมแล้วก็ลงความเห็นว่ามีฝีมือร้ายกาจมาก ระหว่างนั้นพีดัมก็โผล่มาคุยกับองครักษ์ทั้งสองคน

“จ๊ะเอ๋....”

“เฮ้ย....ใคร....” สององครักษ์ ตกใจ

“แหะ....ข้าเอง เฮ่อ ๆๆ ท่านทั้งสอง จะประลองกับใครจ๊ะ” พีดัม ถาม

“บ้านี่ นึกว่าตัวเองเป็นใครน่ะ หา....”

“แหม....ไม่แน่นะอาจสู้กับข้าก็ได้.... ว้าย....ต้องไปดูตารางการจับคู่ซะก่อน เฮ่อ ๆ ๆ ข้าไปล่ะ”

“เจ้าหมอนี่....”

“อ้อ..เดี๋ยว..ถ้าโชคร้ายมาสู้กับข้า ระวังบั้นท้ายให้ดีนะจ๊ะ เพราะว่าข้าชอบเล่นแต่บั้นท้าย ระวังไว้...ฮะฮ่า...เดี๋ยวก็รู้ เฮ่อ ๆ ๆ”

“อย่าเพิ่งไป....” องครักษ์ ขาน

“ระวังตะโพกให้ดีเถอะ ข้าเตือนแล้ว นะ ยะฮู้....วู้....ว้าว...” พีดัม กล่าว

“โอ๊ย....ดูมันทำเข้า หมอนี่ สติดีหรือเปล่าน่ะ”

จุปังกับโกโต เข้ามาให้กำลังใจคิมยูซิน ที่ได้คู่ต่อสู้คนแรกคือ ปาร์คอึย และบอกกับเขาว่าต้องเอาชนะให้ได้ แต่ยูซินกำลังใช้ความคิดและจริงจังกับการประลองจึงบอกทั้งสองว่าอย่ากวนจากนั้นก็เดินออกจากห้องไป จากนั้นจุปังและโกโตก็หันไปพูดกับไอชอง

“ฮ่า....ฟู่....ท่านไอชอง สู้ตายนะครับอึม....”

“ใช่ ต้องสู้เข้าไว้ เพราะหน่วยยองวากับหน่วยบีชอนเหมือนพี่น้องแท้ ๆ แหะ ๆ ๆ” โกโต กล่าว แล้วทั้งสองก็เดินออกไป

“ตายล่ะ การประลองนี่น่ากลัวจริง ๆ เห็นมั้ย ทำให้คนเปลี่ยนได้” จุปัง บอกโกโต

“นั่นสิ กลายเป็นคู่ต่อสู้ ทั้งที่เคยเป็นเพื่อนรัก แต่....กลับไม่พูดไม่จากัน”

“ฮ่า.... แหม....ดูซิ....ลุ้นแทบแย่”

โพจอง บอกกับซกพุงว่า คนที่ชื่อพีดัม เป็นคู่ต่อสู้คนแรกของซกพุง

“ข้ารู้แล้ว ตอนอยู่เขตยีซอก็เคยสู้กับเขามาหนหนึ่ง”

“ฝีมือหมอนี่ไวมาก เจ้าต้องระวังล่ะ” โพจอง เตือน

“ข้าจะพยายามเต็มที่ ไม่ให้เขาเข้ารอบไปเจอกับท่านได้ เฮ่ย....ถ้าต้านไม่อยู่จริง ๆ ก็จะไม่ให้มันอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์”

“แหะ....ใครหรือ....หึ ๆๆ เมื่อกี้ใครบอกว่าจะไม่ให้คนไหนอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์น่ะ หา....พวกท่านเป็นพวกเดียวกันหรือ....งั้น....จะเข้ามาพร้อมกันก็ได้นะ เฮ่อ ๆๆ ข้าเคยเห็นฝีมือท่าน กระจอกงอกง่อยชะมัด” พีดัม เดินเข้ามา

“บังอาจ ใครให้เข้ามาในนี้และยังเพ้อเจ้ออีก” ซกพุง กล่าว

“อุ๋ย....”

“ถ้าอยากประลองก็หัดมีมรรยาทซะบ้าง เห็นพวกเราเป็นอะไร ให้มาแหย่เล่นได้หรือ” ซกพุง กล่าว

“เฮ่อ ๆๆ แหม....พูดจาเสียงดังขนาดนี้ เหมาะจะเป็นผู้นำองครักษ์จริง ๆ” พีดัม กล่าว

“ยังไม่กลัวอีกใช่ไหม”

“อูย....แหม....ข้ากลัวแล้วก็ได้ ยอมแพ้แล้ว เห็นข้าเป็นอะไรน่ะ น่ากลัวเสียงจะ แหบก่อน แหม....ตัวก็เตี้ยแต่ทำไมเสียงดังนัก เฮ่อ ๆๆ” พีดัม กล่าว

“เฮ่ย....หึ....เจ้าหมอนี่....หึ.....เจ้าหมอนี่....” ซกพุง โกรธ

พีดัม มาพบกับยิมจง จึงถูกถามว่าทั้งสองเคยรู้จักกันหรือ

“แน่นอน ท่านน่าจะรู้จักข้าบ้าง เมื่อ กี้ไม่ได้เห็นข้าหรอกหรือ” พีดัม กล่าว

“เพราะอะไร ทำทำไม”

“หือ...ท่านอยู่หน่วย “ฮูกุก” ใช่ไหม แหะ....เท่าที่รู้ สมัยก่อนอาจารย์ข้าก็อยู่หน่วยฮูกุก แถมยังคิดค้นเพลงกระบี่ฮูกุกด้วยแน่ะ แต่ว่า ถึงข้าจะไม่เคยเห็นฝีมือท่านก็จริง อึม ๆ.... อึ้ม....มาซี่ โธ่เอ๊ย....แต่ถ้างวดนี้ท่านได้ประลองกับข้า ก็เท่ากับผู้สืบทอดสองคนมา สู้กัน....แต่ว่า ท่านไม่เคยฝึกยุทธกับอาจารย์ ข้า จะเป็นผู้สืบทอดก็ไม่ถูก ถ้าท่านเกิดแพ้ขึ้นมา ให้ข้าดูแลหน่วยฮูกุกของท่านดีกว่ามั้ง แหะ ๆๆ”

“อะไรนะ กล้ามาดูถูกข้าขนาดนี้เชียวหรือ” ยิมจง กล่าว

“อุ๊ย....ไม่กล้าหรอก แหม....เฮ่ย.... ใจเย็น ๆ เคยรู้ใช่ไหมว่า ก่อนการประลองต้องทำใจให้สงบเข้าไว้ เฮ่อ ๆ ๆ”

“ยังจะพูดอีก”

“เย็นไว้โยม เย็นไว้อย่าเพิ่งเดือด แหม....น่ากลัวเชียว เชื่อข้าเดี๋ยวก็ดีเอง”

เมื่อองค์หญิงต๊อกมานรู้ว่าพีดัมเที่ยวไปยั่วยุผู้เข้าร่วมประลองคนอื่น ๆ ให้เสียสมาธิก็ตรัสถามว่าทำแบบนี้เพื่ออะไร

“หม่อมฉันมั่นใจตัวเอง แต่ไม่เคยประลองกับใคร เรียกว่าขาดประสบการณ์ด้านนี้ แล้วจะรับรองผลชนะได้ไง”

“แล้วยังไง” องค์หญิงต๊อกมานตรัสถาม

“เพลงกระบี่ทุกท่า ล้วนเป็นไปตามความคิดของเรา หม่อมฉันเลยส่งผ่านความวุ่นวายไปยังคนที่จะต่อสู้ด้วย....สิ่งที่หม่อม ฉันทำ โดยเฉพาะการกวนประสาท.....คือความตั้งใจที่จะแกล้งพวกเขา”

“การรบกวนสมาธิคนอื่น คิดว่ายุติธรรมต่อการประลองหรือเปล่า”

“ก็ไหนว่าองครักษ์ต้องพร้อมรับทุกสถานการณ์ไง ใครหลงกลก็ช่วยไม่ได้ล่ะ”

“เฮ่อ....เรามีการประลองเพื่ออะไร”

“เพราะองค์หญิง อยากให้ท่านยูซินได้เป็นผู้บัญชาการองครักษ์ไม่ใช่หรือ”

“แล้วยังไง”

“หม่อมฉันกำลังช่วยองค์หญิงอยู่”

มีซิลมาถามมุนโน ถึงเรื่องที่พีดัมจะเข้าร่วมประลองด้วย

“ใช่ เขาบอกว่าอยากประลองด้วย”

“ท่านพูดเหมือนกับว่า ไม่รู้ว่าเหตุ การณ์จะมาถึงขั้นนี้งั้นแหละ....เขาเป็นศิษย์ท่านแท้ ๆ จะเป็นไปได้ไงที่ท่านไม่รู้เลย ทำไมต้องเดินหมากวุ่นวายแบบนี้”

“เมื่อเขาเป็นศิษย์ข้า ก็ย่อมมีสิทธิเข้าประลองอยู่แล้ว จะบอกว่าวางแผนได้ยังไง”

“ใช่ แน่นอนอยู่แล้ว ข้าเชื่อว่า ท่านเป็นคนเถรตรงพอที่จะให้ความเป็นธรรมแก่ ทุกฝ่าย”

“ข้อนี้แน่นอน”

“จำได้ว่า นับแต่ข้ารู้จักท่าน หลายปีมานี้ ไม่เคยที่จะเสื่อมศรัทธาในตัวท่านไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม....หวังว่าคราวนี้ ท่านจะทำให้ข้าเลื่อมใสได้อีก”

พระเจ้าจินพยอง ตรัสถามยองชุนว่าการประลองไปถึงไหนแล้ว

“กำลังอยู่ในช่วงต่อสู้ดุเดือดพ่ะย่ะค่ะ แต่ได้ยินว่า มีคนชื่อพีดัมเข้าร่วมการประลองด้วย”

“คนที่ชื่อพีดัม คือคนสนิทที่อยู่กับต๊อกมานไม่ใช่หรือ” พระมเหสีมายา ตรัสถาม

“พ่ะย่ะค่ะ เพราะเป็นลูกศิษย์ท่านมุน โน จึงมีสิทธิเข้าประลองด้วย”

“ฝ่าบาท....ๆ....” มหาดเล็กเข้ามา

“มีเรื่องอะไร”

“ทูตที่ไปเมืองหังโจวกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“จริงหรือ งั้นชุนชูก็มาด้วยสิ”

“แต่ว่า...เอ่อ....แต่ว่า....ๆ....”

“ทำไมอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ล่ะ”

“เกิดอะไรขึ้นหรือไง”

“ได้ยินว่า คนของท่านมีซิลชิงตัดหน้าก่อน พาตัวคุณชาย....ออกเดินทางล่วงหน้า พ่ะย่ะค่ะ”

“อะไรนะ มีซิลพาชุนชู....”

“แล้วทำไม....นางต้องเป็นฝ่ายพาชุนชูกลับมาเองล่ะ” พระมเหสีมายา ตรัสถาม

“แต่ว่า ถ้าพวกเขาเดินทางก่อนจริง ป่านนี้ก็น่าจะมาถึงเมืองหลวงของเราแล้ว ขนาดทูตยังกลับมา แล้วทำไมยังไม่เห็นพวกเขาล่ะ” ยองชุง กล่าว

“หึ....คงไม่ใช่....มีซิล....เอาตัวชุนชูไปกักไว้ที่อื่นนะเพคะ”

“หึ....ไปจับตาความเคลื่อนไหวของมี ซิลทุกฝีก้าว ที่สำคัญ ส่งคนไปที่เมือง “ทังฮันซอง” ถามว่าคณะของชุนชูเดินทางไปถึงที่นั่นหรือยัง”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

ชุนชูเดินทางมาใกล้ถึงเมืองหลวง แต่ได้ถ่วงเวลาไว้โดยอ้างว่าเวียนหัว แทนัมโพ จึงให้คนนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดให้

“คุณชาย รีบไปต่อเถอะครับ ใกล้จะถึงเมืองหลวงอยู่แล้ว” แทนัมโพ กล่าว

“เฮ่ย....แค่นั่งเกี้ยว ข้าก็เวียนหัวจนจะแย่แล้ว ท่านแทนัมโพ”

“ครับ คุณชาย”

“หึ....ได้ยินว่าช่วงนี้ มีการประลองยุทธ์หรือ”

“หา....อ้อ....ครับ”

“อ้อ.....งั้นหรือ เฮ่ย....อากาศนี่ร้อนตับแลบจริง ๆ ว่ามั้ย เฮ่ย....เฮ่อ....” ชุนชู กล่าว

ที่เมืองหลวงการประลองของเหล่าองครักษ์เริ่มการต่อสู้เป็นไปอย่างสนุกจนสุดท้ายโฮแจได้ประกาศ

“องครักษ์คิมยูซินแห่งหน่วยยองวา.....องครักษ์ไอชองแห่งหน่วยบีชอน....โพจองแห่งหน่วยยีวาซอง....พีดัมแห่งหน่วยไร้สังกัด....องครักษ์ทั้ง 4 คนนี้ ได้เข้ารอบต่อไปในการประลอง ข้าจึงขอประกาศให้รู้ กำหนดให้บ่ายนี้ เข้าประลองในรอบ 4 คนสุดท้าย”

แม้จะได้ผ่านเข้ารอบ 4 คนสุดท้าย แต่คิมยูซินก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย

“ท่านเป็นไงบ้าง” แวยา ถาม

“มาแล้วหรือ”

“ท่าทางเหมือนจะเจ็บไม่น้อย แล้วรอบต่อไปจะสู้ไหวหรือเปล่า” ซอแจ ถาม

“คนอื่นก็คงมีบาดเจ็บเหมือนกัน” คิมยูซิน กล่าว

“หึ....”

“ถ้างานนี้ท่านทำสำเร็จ เป้าหมายที่เราวางไว้ อย่างน้อยก็ร่นเวลาได้อีกสามปี.... เพราะฉะนั้นท่านต้องชนะ” แวยา กล่าว

“แข็งใจไว้หน่อยนะ เพราะท่านมีภาระหนักยิ่งกว่าใคร” ซอแจ กล่าว

“โอ๊ะ....เฮ่อ....” คิมยูซิน เจ็บแผล

ไอชองผ่านเข้ารอบ 4 คนสุดท้าย คู่ต่อสู้ด่านต่อไปคือคิมยูซิน ลูกน้องจึงเข้ามาถามความรู้สึก

“ข้าจะพยายามสู้เต็มที่”

“ถ้าท่านใช้กำลังห้ำหั่นกับเขาเต็มที่ สุดท้ายอาจต้องไปพบท่านโพจอง จะมิยิ่งลำบากหรอกหรือ เอ่อ....ป่านนี้แล้ว ท่านยังไม่ได้คุยกับเขาอีกหรือ”

“เจ้าจะพูดอะไรกันแน่ จะให้ข้าทุจริตในการแข่งขันหรือไง....นี่คือการประลองฝีมือ ทั้งข้าและยูซิน ไม่เคยคิดอะไรนอกเหนือ จากนี้”

ซกพุง เข้ามาถามโพจองว่ายังพอสู้ไหวมั้ย และตนเองก็รู้สึกละอายใจที่พ่ายแพ้

“หึ....อย่าพูดอย่างงั้น พีดัมเค้าเก่ง จริง ๆ”

“หึ....ยังไงเจ้าต้องเอาชนะพีดัมให้เร็วที่สุด เพื่อออมกำลังไว้ รอบสุดท้ายจะได้ไม่กินแรงมาก”

“หึ....”

“ยูซินกับไอชองเป็นเพื่อนรัก ไม่แน่อาจรวมหัวทำอะไรบางอย่าง....ความถนัดของเจ้าพีดัม คือการกระโดดและโต้ตอบฉับไว แต่ว่า ตอนนี้เขาเจ็บที่หน้าแข้งขวา ถ้าโดดไปทางขวาจะค่อนข้างลำบาก” ซกพุง กล่าว

แทพุงจะนำน้ำมาให้พีดัมดื่ม แต่พบว่าเขากำลังนอนหลับอยู่ และเป็นห่วงว่าพีดัมจะได้รับบาดเจ็บจนเดินไม่ไหว ด้านมีเซ็งออกตามหามีซิลในห้องทำงานและที่ประลองยุทธแต่ ก็ไม่พบ

“ที่แท้มาอยู่นี่หรอกหรือ เฮ่ย...ปล่อยให้ หาตั้งนาน เหนื่อยแทบแย่ เฮ่ย...”

“เมื่อกี้ฮาจองมาบอกเรื่องชุนชูให้รู้ ข้าก็อยากพบเจ้าเหมือนกัน ตกลงเขามาถึงหรือยัง” มีซิล ถาม

“เฮ่ย...ยังมั้ง ไม่เห็นจะได้ข่าวเลย แต่ได้ยินว่า ข้ามเขากึมอูซานมาแล้ว คงใกล้จะถึงเมืองหลวงเต็มที เฮ่อ...”

“อะไรนะ”

“ข้ามเขากึมอูก็ถึงเมืองหลวงแล้วนี่ทำไม ยัง...” ซอวอน กล่าว

“เฮอะ...เพราะว่า...โอ๊ย...อยากจะบ้า เพิ่ง รู้ว่าขี่ม้าไม่เป็นถึงได้ช้าขนาดนี้ เฮ่ย...หึ ๆ ๆ เฮ่ย ...แต่ว่า เขาไม่เหมือนข้าหรอกนะอย่างน้อยเขาก็ ไม่มีอะไรเก่งซักอย่าง แหะ ๆ ๆ” มีเซ็ง กล่าว

แทนัมโพ เสนอที่จะสอนขี่ม้าให้กับชุนชู

“เมื่อก่อนข้าก็เคยคิดจะหัดขี่ม้า แต่พอเอาเข้าจริง มันไม่ง่ายอย่างที่คิด...เมื่อกี้ได้ยินว่า ท่านจะสอนข้าหรือ”

“หึ...ใช่ครับคุณชาย”

“งั้นก็ได้ ข้าจะลองดูซักครั้ง”

“นั่งได้ถูกท่าแล้ว ลำดับต่อไปก็คือจับเชือกให้แน่น”

“เอ่อ...ข้าเริ่มกลัวแล้ว ขอลงไปดีกว่า”

“คุณชาย ยังไม่ทันให้มันวิ่งเลย”

“ข้าไม่ฝึกแล้ว”

“หึ...เฮ่ย...”
“เฮ่ย...เฮ่อ...แค่ขึ้นไปนั่งเดี๋ยวเดียว ข้าก็รู้สึกเหนื่อยแย่แล้ว แถวนี้มีโรงเตี๊ยมมั้ยข้าจะพักหน่อย”

“หา...แค่ขึ้นไปนั่งยังไม่ทันทำอะไรเลย คุณชาย เราต้องรีบเดินทางนะครับ”

“บอกให้ไปหาโรงเตี๊ยม”

มุนโน ทูลถามองค์หญิงต๊อกมานว่าได้รับสั่งให้พีดัมทำอะไรพิเศษหรือไม่ เพราะเขาได้ไปประลองโดยไม่บอกตนเอง แต่องค์หญิงตรัสปฏิเสธ จากนั้นก็รีบเสด็จไปที่ลานประลอง

“ทุกคนฟัง นี่คือการประลองในรอบสี่คนสุดท้าย คิมยูซินแห่งหน่วยยองวา ไอชองแห่งหน่วยบีชอน สองคนเดินมาข้างหน้า ทั้งคู่แสดงความเคารพ องครักษ์ทั้งสอง เข้าประจำที่ เริ่มการประลองได้” โฮแจ กล่าว จากนั้นทั้งสอง ก็ประลองฝีมือกันโดยมีกองเชียร์เป็นองครักษ์หน่วยของตน สุดท้ายคิมยูซินเป็นฝ่ายชนะได้เข้าสู่รอบสุดท้าย จุปังรีบเข้ามาแสดงความยินดี

“ระวัง ๆ ค่อย ๆ เดิน ช้า ๆ ใจเย็น ๆ ไม่ต้องรีบ ปล่อยให้นอนลงก่อน ค่อย ๆ นะ แหม...ดูซิเนี่ย...”

“ท่านยูซิน ท่านทำดีมากเลย” โกโต กล่าว

“นั่นสิเป็นการต่อสู้ที่มันมาก สู้เก่งขนาดนี้ทำไมเมื่อก่อนไม่เห็นลงแข่งล่ะ” จุปัง กล่าว

“ข้าดูจนเกือบร้องไห้แน่ะ อ้อ...น้ำอยู่นี่ มา...ค่อย ๆ ดื่มนะ ไม่ต้องรีบ” แทพุง กล่าว

“ท่านไอชองก็เหลือเกิน สู้ไม่ได้ยังทำให้ท่านยูซินเปลืองแรง...” จุปัง กล่าว จากนั้นไอชองก็เดินเข้ามาหาคิมยูซิน

“ฝ่ายแพ้ยังเดินไหว ฝ่ายชนะกลับหมดแรง เป็นการต่อสู้ที่สนุกนัก”

“อืม...ในเมื่อผ่านข้าไปได้ ตำแหน่งผู้นำ องครักษ์ก็ต้องเป็นของเจ้า เข้าใจมั้ย” ไอชอง กล่าว

“ตบมือเร็วเข้า” จุปัง บอกทุกคนแล้วก็หัวเราะกัน

เช้าวันรุ่งขึ้นแทนัมโพ เข้ามาตามชุนชู ที่ห้องพักแต่ก็ไม่พบชุนชูได้หนีออกจากโรงเตี๊ยม เพื่อไปแอบดูการต่อสู้ที่ลานประลอง ซึ่งโพจองกำลังประลองฝีมือกับพีดัม

“ผลที่ออกมา พีดัมเป็นฝ่ายชนะ...ได้สิทธิไปแข่งรอบสุดท้าย เนื่องจากนี่ก็ใกล้เย็นแล้ว ฉะนั้น รอบสุดท้าย...ให้ไปประลองฝีมือในพรุ่งนี้ เช้า” โฮแจ กล่าว

“ไม่ต้องรออีกแล้ว ข้าขอสู้กับท่านยูซิน เดี๋ยวนี้เลย” พีดัม กล่าว

“คิมยูซินแห่งหน่วยยองวา เชิญออกมา หน่อย พีดัมบอกว่าจะขอสู้ต่อ เจ้ามีความเห็นยังไงบ้าง”

“ถ้าเขาคิดว่าสู้ไหว ข้าก็ไม่ปฏิเสธ”

“หึ ๆ”

“ถ้าอย่างงั้น อีกหนึ่งชั่วยามให้หลัง ยาม เย็นของวันนี้ ให้มาแข่งในรอบสุดท้าย” โฮแจ กล่าว

ยองชุนเข้ามารายงานพระเจ้าจินพยองว่าโพจองเป็นฝ่ายแพ้หนุ่มที่ชื่อพีดัม

“ไหนบอกว่าโพจอง ไม่เคยประลองยุทธ แพ้ใครมาก่อนไงล่ะ” พระมเหสีมายา ตรัส

“หึ...ขนาดเอาชนะโพจองได้ แสดงว่าน่าจะเก่งไม่น้อย” พระเจ้าจินพยอง ตรัส

“พ่ะย่ะค่ะ ถ้าสุดท้ายพีดัมเป็นฝ่ายชนะจริง ๆ ก็แปลว่าทั้งพีดัม ยูซินและโพจองชนะคนละหนึ่งรอบ ถึงตอนนั้นอาจต้องใช้การออกเสียงเพื่อคัดเลือกผู้นำ”

“ถ้าอย่างงั้น โพจองก็จะมีโอกาสมากกว่า ใคร”

“ถ้ายูซินเป็นฝ่ายชนะ ได้เป็นผู้นำองครักษ์ อีกหน่อยก็จะเป็นกำลังสำคัญให้ต๊อกมาน” พระมเหสี มายา ตรัส

ฮาจอง มาบอกมีซิลว่าโพจองแพ้ให้แก่พีดัม

“พีดัม” มีซิล คิด

“ใช่ครับ ก่อนหน้านี้ทำเป็นคุยโตโอ้อวด ตั้งแต่ประลองมาไม่เคยแพ้ใคร เฮ่ย...นึกแล้วต้องเป็นแบบนี้ เฮ่ย...”

“ก็แปลว่ารอบสุดท้าย กลายเป็นพีดัมเข้าชิงกับยูซินงั้นสิ ท่านเซจู เรื่องนี้เราจะทำไงดี” เซจอง กล่าว

“เอ๊ะ...เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อนท่านแม่ สองคนนี้ เป็นคนขององค์หญิงต๊อกมานหมดนี่นา”

“ตายล่ะแล้วทำไม...” เซจอง กล่าว

“ข้าต้องไปดูเองซะแล้ว” มีซิล กล่าว

“หา...ไปดูเอง ถึงท่านไปเองก็ไม่ช่วยอะไรหรอกครับ” ฮาจอง กล่าว

เมื่อมาถึงที่ลานประลอง โพจองก็รีบขอโทษมีซิล แต่นางได้บอกว่าโพจองได้ทำเต็มที่แล้ว ทำได้แค่นี้ก็ถือว่าเก่งมาก ด้านองค์หญิงต๊อกมานรู้ว่าพีดัมมีแผนอะไรอยู่จึงเข้าไปหา

“ถ้าหาก...สิ่งที่เจ้ากำลังคิดอยู่ คือเรื่องที่ข้าเป็นห่วงละก็ ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้าเลย”

“เรื่องที่องค์หญิงทรงเป็นห่วง คือผลการต่อสู้ของท่านยูซินใช่ไหม” พีดัม ทูล

“แพ้หรือชนะ ข้ายอมรับได้ แต่ทำอย่างงั้น ข้ารับไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเจ้าคิดทำจริง ก็ขอให้เลิกคิดซะ โดยเฉพาะท่านยูซิน...ไม่มีวันร่วมมือกับเจ้าแน่” องค์หญิงต๊อกมานตรัส จากนั้นคิมยูซินและพีดัมได้ต่อสู้กัน

“หึ...ตั้งใจสู้หน่อย ได้ไหม”

“หึ...ข้าก็ตั้งใจอยู่แล้วนี่” พีดัม กล่าว

“หึ...ย้าก...ถ้าเจ้าทำเล่น ๆ ข้าจะฆ่าเจ้าซะ หึ...เข้าใจไว้ด้วย หึ...โอ๊ะ...” คิมยูซิน กล่าว

“มองให้มันไกลหน่อย หึ...ระหว่างท่านกับงานใหญ่ขององค์หญิง งานนี้แทบไม่มีความหมายเลย”

“ห้ามลบหลู่การประลองนะ ย้าก...ลุกขึ้นมาสู้ต่อ ฮึ่ม...”

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ.... เจ้าสองคน เห็นการ ประลองอันมีเกียรติเป็นของเล่น ยังคู่ควรเป็นองครักษ์อีกหรือ” ชิซู เดินเข้ามา

“มุนโนให้พีดัมลงแข่ง ไม่แน่อาจจะเพื่อกันโพจองไว้ เพื่อให้คิมยูซินเป็นผู้ชนะในที่สุด” ซอวอน กล่าว

“การประลองอันมีเกียรติของเรา จะให้ มุนโนมาย่ำยีได้หรือ” ชิซู กล่าว

“ข้าก็หวังว่าคงไม่ใช่ แต่ผลที่ออกมาดูไม่ค่อยปกตินัก” ซอวอน กล่าว

“ถ้าเป็นอย่างงั้นจริง ข้าจะไม่ยอมให้พวกเขาเล่นตลก”

“ถ้ามุนโนวางแผนจะเดินทางนี้จริง เราจะยิ่งควบคุมได้ง่ายมากกว่า” มีซิล กล่าว

“ข้าเข้าใจดี”

“ท่านวอนซังฮา...มีอะไรจะพูดงั้นหรือ เห็น การประลองเป็นของเล่นยังไงกัน” มีซิล กล่าว

“ข้าวอนซังฮาชิซู ชั่วชีวิตฝึกกระบี่มายาวนาน ถ้าหากเมื่อกี้ข้าดูผิดว่าพวกเขาไม่ได้สมรู้ร่วมคิด ข้ายินดีที่จะ...ควักลูกตาเป็นการชดเชยความผิด ทันที” ชิซู กล่าว

“ตกลงยังไงกันแน่” โกโต กล่าว

“จะควักตาแล้ว” จุปัง กล่าว

“ท่านมุนโน เชิญท่านพูดหน่อยซิ กล้าบอกมั้ยว่า นี่เป็นการต่อสู้ที่ยุติธรรมน่ะ...ถ้าหาก...แม้แต่ครูฝึกอย่างท่านยังคิดว่าพวกเขาสู้กันอย่างเป็นธรรม งั้นหน่วยองครักษ์ ก็ควรยุบได้แล้ว” ชิซู กล่าว

“หา...เอางั้นเลยหรือ...เป็นเรื่องแล้วมั้ยล่ะ...” ทุกคนตกใจ

“พี่จุปัง เกิดอะไรขึ้นน่ะช่วยอธิบายหน่อยซิ” แทพุง ถาม

“ข้าก็ไม่รู้ ดูไปก่อน” จุปัง กล่าว

“ตกลงใครเป็นฝ่ายชนะ” ชุนชู ถาม

“อย่าถามมากน่ะ” จุปัง กล่าว

“ผู้ชายคนนั้นโผล่มาทำไม” ชุนชู ถาม

“พูดไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวพ่อ...เจ้าเป็นใครน่ะ” จุปัง ถาม

“ข้าหรือ...คิมชุนชู...” ชุนชู กล่าว




..............จบตอนที่ 34...........



วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 33



Queen Seon Deok ( 善德女王/ 선덕여왕)
เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 33
Cr. : Dailynews Online


ต๊อกมานกับคิมยูซินเจอข้อความที่เขียนไว้ว่า “ต๊อก...อ๊อก...อิลชิล....บังลา....ซาปัง”

“หมายถึงอาณาจักรใหม่อันยิ่งใหญ่” ยูซิน กล่าว

“ต่อด้วยแผ่ขยายกว้างไกล”

“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ชิลก็คืออาณาจักรใหม่”

“ลา คือการแผ่ขยาย”

“นี่ก็คือ....ความหมายที่สามของชื่อแคว้นชิลลา”

“แล้วตรงนี้เขียนอะไรอีก”

“สาม....รวมเป็น....หนึ่ง...”

“ปึกแผ่น”

“ต๊อกอ๊อกอิลซิล บังลาซาปัง ความหมาย ก็คือ....รวม 3 แคว้นให้เป็นปึกแผ่น” ยูซิน สรุปความหมายของทั้งหมด

“หา....หึ....”

เมื่อถึงเวลาที่ต้องตอบคำถาม ซกพุงและยิมจงสารภาพว่าหาความหมายของชื่อแคว้นชิลลาได้เพียง 2 ความหมายเท่านั้น มุนโนจึงเตรียมที่จะสรุปว่าในรอบนี้คงไม่มีใครชนะ

“ต๊อกอ๊อกอิลชิล บังลาซาปังคือคำตอบครับ ชิลคือต๊อกอ๊อกอิลชิล ลาคือบังลาซาปัง” ยูซิน พูดแทรกขึ้นมา

“ใช่ ถูกต้อง เจ้าตอบถูกจริง ๆ แล้วรู้ความหมายหรือเปล่า”

“ความหมายก็คืออาณาจักใหม่อันยิ่งใหญ่ บารมีปกคลุมทั่วแดนน่ะครับ”

“ถ้าอย่างงั้น ความหมายแท้จริงของสองประโยคนี้ หมายถึงอะไรกันแน่....ข้าถามว่าความหมายแท้จริงของสองประโยคนี้หมายถึงอะไร....ทำไมไม่ตอบข้าล่ะ”

“ข้ายังไม่ทันตีความ ว่าจะมีความหมายอื่นน่ะครับ....รู้แต่หมายถึงอาณาจักรใหม่ แผ่บารมีไปทั่วแดน แค่นี้ก็เป็นความหมายลึกซึ้งพอแล้ว” ยูซิน กล่าว

“หึ....ใช่ แค่นี้ก็พอแล้ว ที่แล้วมาการเลือกองครักษ์ ส่วนใหญ่มักใช้การประลองฝีมือเป็นเกณฑ์ตัดสิน แต่คราวนี้เพื่อให้เข้าใจถึงจุดประสงค์ของพระเจ้าจินฮึงที่ทรงก่อตั้งหน่วย องครักษ์ จึงได้ตั้งโจทย์นี้ขึ้นมา ดีที่คิมยูซินมีความพยายาม...ค้นหาคำตอบมาจนได้ งั้นอีก 10 วันข้างหน้าจะมีการประลองยุทธ ขอให้ทุกคนจดจำหน้าที่องครักษ์ให้ดีด้วย”

“ครับ”

“การแข่งขันรอบที่สอง คิมยูซินเป็นฝ่ายชนะ” มุนโน กล่าว

มีเซ็งได้ยินมาว่ามุนโนไม่ค่อยพอใจกับคำตอบของยูซินสักเท่าไหร่ แต่เพราะเขาเป็นคนเถรตรง ถ้าไม่ใช่คำตอบจริง ๆ เขาคงไม่ยอมปล่อยให้ยูซินชนะ

“แม้แต่เจ้าก็เชื่อว่า เขาไม่รู้คำตอบจริงงั้นหรือ”

“ข้าไม่เชื่อหรอก ทั้งองค์หญิงต๊อกมาน และคิมยูซิน รู้คำตอบแล้วทั้งคู่” มีซิล กล่าว

“แล้ว....ในเมื่อรู้อยู่ แล้วทำไมไม่ตอบไปเลยล่ะ”

“ข้าเคยบอกแล้วว่าต่อให้รู้คำตอบจริงก็ไม่มีใครกล้าพูด”

“อ้อ....แหะ....ใช่ ฮึ่ม....”

“เฮ่ย....ปวดหัวจริง ทำเป็นลึกลับซับซ้อน เฮ่ย....”

“เขาจงใจจะให้บทเรียนแก่ต๊อกมาน หรือว่า....จะบอกนางทางอ้อมว่าไม่เหมาะจะเป็นประมุขแห่งชิลลากันแน่ อะไรคือจุดประสงค์ที่แท้จริงของมุนโนนะนี่” มีซิล คิดอย่างสงสัย

ต๊อกมานสงสัยในคำถามของมุนโน นางจึงไปขอคุยกับเขาตามลำพัง

“เพราะสาเหตุนี้ใช่ไหม ท่านถึงคัดค้านไม่อยากให้ข้าปกครองชิลลา นั่นเพราะว่า ท่านคิดว่าข้าไม่อาจสานต่อเจตนารมณ์ของอดีตพระราชา”

“ใช่”

“หึ....เพราะว่า....ข้าเป็นผู้หญิงใช่ไหม” ต๊อกมาน ถาม

“ขอทรงอภัย เป็นอย่างงั้นจริง ๆ”

“หึ....พูดให้ตรงก็คือท่านไม่เชื่อความสามารถของผู้หญิง เป็นอย่างงั้นใช่ไหม” ต๊อกมาน กล่าว

“มันก็ไม่เชิงนัก จากที่เห็นผลงานของมีซิล ทำให้หม่อมฉันรู้ว่าไม่ควรประมาทปัญญาของผู้หญิง”

“แล้วเพราะอะไร”

“ทรงมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ที่จะปก ครองบ้านเมือง” คำถามของมุนโน ทำให้ต๊อกมานหยุดคิด

“ข้าต๊อกมาน....เชื่อว่าตัวเองพร้อมทุกด้าน มีความตั้งใจที่จะทำงานเพื่อบ้านเมือง”

“เรากำลังคุยเรื่องบ้านเมือง ไม่เกี่ยวกับคุณสมบัติส่วนตัวขององค์หญิง”

“ถ้าอย่างงั้น ชิลลาต้องการให้พัฒนาด้านไหนบ้าง....ได้ยินว่าก่อนพระเจ้าจินฮึงจะสวรรคต ได้ทรงถอนพระทัยอย่างหนัก เมื่อรับสั่งถึงอนาคตของแคว้นชิลลา....ทรงเป็นห่วงว่าแคว้นเราจะถูกกลืน นี่คือเป้าหมายหลักใช่ไหม....มีซิล....เป็นคนที่ไม่อาจแยกแยะ....ผลประโยชน์ส่วนตัวออกจากเรื่องของบ้านเมืองได้ เพราะนางไม่ใช่เชื้อพระวงศ์โดยกำเนิดที่จะห่วงบ้านเมืองจริง และนางก็ไม่มีสิทธิด้วย แต่ว่า ข้าเป็นเชื้อพระวงศ์ ที่จริงการเป็นเชื้อพระวงศ์ ก็ไม่มีอะไรสำคัญนัก สำหรับข้าแล้วเป็นเพียงบันไดขั้นแรก ที่จะเข้ามาทำงานใหญ่เท่านั้น.... แต่ว่า ตอนนี้สิ่งที่ท่านต้องวิเคราะห์ให้หนักก็คือ มาถึงยุคสมัยนี้แล้ว เราจะใช้ระบอบไหนในการปกครองดี....ท่านอยากให้พระราชามีอำนาจมากขึ้น หรือขุนนางมีอำนาจมากกว่า” ต๊อกมาน กล่าว พีดัมที่แอบฟังอยู่อึดอัด

“ต้องเป็นพระราชาอยู่แล้ว แต่ว่ายังไงก็ไม่ใช่ผู้หญิง” มุนโน กล่าวยืนยัน

ยูซินบอกให้พ่อแม่ของเขารู้ว่า เขารู้ความหมายที่มุนโนถาม แต่ไม่สามารถที่จะพูดได้

“จะเป็นหนึ่งในชนเผ่า หรือเป็นที่สองในแคว้นใหญ่ ตอนนี้เราอยู่ในแคว้นชิลลา” ยูซิน กล่าว

“ความหมายของเจ้าคือยอมเป็นรอง คนอื่นงั้นหรือ เหมือนสมัยก่อนพระเจ้า “คูยอน” ใช่ไหม”

“ใช่ครับ ต้องทนกับกระแสต่อต้านจากขุนนางอื่น สร้างผลงานให้เหนือกว่าพวกเขา ขณะเดียวกันก็ห้ามคิดใฝ่สูงเกินตัว ต้องอยู่ใต้อำนาจของพระราชา”

“แต่ว่า คนที่เจ้ารับใช้คือองค์หญิงต๊อกมาน ถ้าเจ้าเป็นราชบุตรเขยก็มีสิทธิเป็นพระราชาได้”

“นั่นเป็นเรื่องที่ห้ามเด็ดขาด ถ้าให้ชาวคาย่าอย่างข้าขึ้นครองราชย์ ขุนนางชิลลาทั้งหลายก็จะไปเข้ากับมีซิล เกิดการต่อต้านพวกเราอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น เท่ากับเผ่าคาย่าเปิดศึกกับชิลลาด้วย”

“หึ....”

“ท่านพ่อ ข้ายินดีแลกกับชีวิตตัวเองก็จริง แต่ว่าข้าไม่มีสิทธิเอาชีวิตชาวคาย่าทั้งหลาย เป็นเดิมพันในงานนี้ด้วย....เลยขอสละสิทธิที่ควรได้ ให้องค์หญิงได้ครองแคว้นชิลลา เป็นการเปิดทางให้ชาวคาย่าของเราด้วย” ยูซิน กล่าว

มุนโนถามต๊อกมาน ว่านางรู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร จนวันนี้ถึงยังไม่มีผู้หญิงได้ครองเมือง

“สมัยก่อนพระเจ้า “อุยแจ”....บัญญัติให้สืบราชสมบัติเฉพาะโอรสเท่านั้น ก็เพื่อตัดปัญหาไม่ให้ฝ่ายในมีการชิงดีชิงเด่น หากฝ่ายในมีการชิงอำนาจจริง ก็แปลว่าอำนาจของพระราชา อ่อนด้อยลง แล้วตอนนี้ ถ้าองค์หญิงขึ้นครองราชย์ คนที่อยากเป็นราชบุตรเขยก็จะมีการแก่งแย่งอย่างรุนแรง อีกอย่าง เพียงแค่ผู้หญิงหวังจะครองราชย์ ก็เป็นประเด็นให้ขุนนางถกเถียงอย่างหนักได้แล้ว...ไหนจะมีราษฎรอีก ชาวบ้านจะเข้าใจเรื่องแบบนี้ได้ยังไง ต่อให้ทรงสร้างหอดูดาวและเปิดเผยเรื่องปฏิทิน แต่ชาวบ้านยังคิดแต่เรื่องบนบานศาลกล่าว คิดว่าจะเข้าใจเรื่องผู้หญิงครองเมืองได้หรือ....องค์หญิงจะสร้างความแตกแยกแล้วค่อยก้าวสู่อำนาจ เป็นเป้าหมายที่สำคัญหรือไง หากเป็นอย่างงั้นจริง ทำไมต้องเป็นองค์หญิงด้วย....เราเคยมีนักปกครองที่เป็นหญิงซ้ำยังสร้างคุณูปการมากมาย แม้แต่มีซิลก็เป็นได้” มุนโน กล่าว

“มีซิล....เป็นไม่ได้หรอก”

“เพราะอะไร เพราะนางไม่ใช่เชื้อพระวงศ์หรือ”

“ไม่ใช่ เพราะนางไม่มีอุดมการณ์ มีซิล ....มีคุณสมบัติในการเป็นผู้นำก็จริง แต่นางไม่เคยคิดครองเมือง จึงไม่มีสิทธิจะเป็นประมุขแห่งชิลลา....เรื่องแบบนี้ต้องเป็นคนที่เด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่น ถึงรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร.... ท่าน บอกว่าข้าจะสร้างความแตกแยกกว่าจะมีอำนาจงั้นหรือ ท่านเคยบอกว่า มีเหตุผลหลายอย่างที่ข้าไม่ควรครองราชย์ แต่ข้ามีสามข้อ ที่คิดว่าสมควร...ข้อที่หนึ่ง ความเจ็บแค้น ข้าจะใช้ความเจ็บแค้นของตัวเองเป็นเยี่ยงอย่างแก่ราษฎรที่ถูกมีซิลกดขี่ ข้อสอง เนื่องจากข้าเป็นเชื้อพระวงศ์ จึงสามารถปกครองเหล่าขุนนางได้” ต๊อกมาน กล่าว

“แล้วไงอีก”

“ข้อสาม คงต้องบอกว่าท่านมุนโนช่วยเหลือ โดยเฉพาะคำถามสองในการแข่งคัดเลือกองครักษ์ ทำให้ข้ามีเป้าหมายชัดเจนขึ้น”

“นั่นคืออะไร”

“เหมือนที่ข้าชอบทำในสิ่งที่เป็นไป ไม่ได้ ก็ให้แคว้นชิลลา ร่วมสร้างฝันที่เป็นจริงพร้อมกับข้าด้วย”

“สร้างยังไง ใช้อะไรสร้าง” มุนโน ถาม

“เหมือนที่มีซิลเคยทำ ใช้ฐานะธิดาแห่งสวรรค์ คำนวณปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหลายอย่าง หรือแม้แต่เพ้อฝัน....หวังลม ๆ แล้ง ๆ”

“อะไรคือความเพ้อฝัน”

“ความหวังไงล่ะ....ทุกคนที่เป็นชาว ชิลลา ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือองครักษ์ ล้วนมีสิ่งหนึ่งที่คิดในใจ และพร้อมจะให้ความร่วมมือทันที เมื่อมีการริเริ่ม และท่านเคยบอกว่า เป็นสิ่งที่ข้าไม่มีวันจะทำได้ เป็นความฝัน....ที่ไม่มีวันเกิดจริงในชิลลา นั่นแหละคือความหวัง” ต๊อกมาน กล่าว

หลังจากที่ต๊อกมานคุยกับมุนโนเรียบร้อยแล้ว จึงชวนโซวาไปเยี่ยมที่หลุมศพขององค์หญิงชอนมยอง

“พี่หญิง ข้าคิดถึงท่านจัง ท่านว่า....ข้าจะทำได้ไหม....ข้าสามารถทำได้จริงหรือเปล่า”

ด้านพีดัมหลังจากที่แอบฟังต๊อกมานคุยกับมุนโนแล้ว ก็อดเก็บมาคิดไม่ได้ว่า รวมสามแคว้นเป็นหนึ่ง หมายความว่าอย่างไร แล้วพีดัมก็นึกย้อนไปถึงตอนที่ตัวเองเป็นเด็ก สมัยที่มุนโนพาไปโกคูรยอและแพ็กเจ พร้อมบอกด้วยว่า สิ่งที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อพีดัมเพียงคนเดียว แล้วมอบของสิ่งหนึ่งให้ แต่สุดท้ายของสิ่งนั้นก็ถูกโจรแย่งไป เขาจึงไปเอาคืน พร้อมกับฆ่าพวกโจรตายทั้งหมด มุนโนที่ตามไปช่วยเห็นเหตุการณ์แล้วถึงกับตะลึง

“ข้าใส่ยาพิษไว้ในอาหาร แล้วหลอกให้พวกเขากินของนี่ ท่านเคยบอกว่าไม่ให้ใครดูใช่ไหมครับ” พีดัม กล่าว

“เจ้าฆ่าพวกเขาหมดเลยหรือ”

“อึม....”

“เจ้ากล้าถึงขนาดฆ่าคน” มุนโน ถาม

“ก็พวกเขาทำร้ายข้าก่อน แถมยังแย่งของ ๆ ข้าไปอีกนี่ครับ ที่สำคัญ เป็นของที่อาจารย์สั่งห้ามไว้ด้วย ข้าก็เลย....วางยาฆ่าซะให้หมด หึ ๆๆ....ข้าแกล้งเอาอาหารมาให้ พวกเขากินอย่างตะกละตะกลาม โดยไม่รู้ว่าข้าวางยาไว้ หึ ๆๆ เฮ่อ ๆๆ” พีดัมหัวเราะชอบใจ

เมื่อคิดได้ดังนั้น พีดัมจึงรีบไปที่วัด อ้างกับไต้ซือว่ามุนโนใช้ให้มาเอาหนังสือที่ฝากไว้ เมื่อได้มาแล้วเขาจึงรีบเปิดดู

“นี่คือแผนที่ของสามแคว้น สิ่งที่ อาจารย์เตรียมไว้ คือแผนที่ของสามแคว้นหรือนี่....เขาบอกว่าทำเพื่อข้า วันเกิดของยิน-มยอง ใครคือยินมยองน่ะ วันเกิดข้านี่นา.... ยอนจง... เจ้านี่เป็นใครอีก”

แล้วพีดัมก็เปิดหนังสือเล่มต่าง ๆ ดู นึกสงสัยในคำพูดของโซวา ที่บอกว่าเขาเป็นลูกใคร

มีซิลมาพบยูซิน เห็นเขากำลังเหม่อ จึงถามว่าคิดอะไรอยู่

“ท่านมีธุระอะไร”

“พรุ่งนี้เป็นวันประลองยุทธ์แล้วสิ”

“หรือว่า คิดถึงตอนอยู่เขตยีซอ เคยประมือกับยูซินใช่ไหม...อย่าคิดมากอีกเลย ใคร ๆ ก็รู้ ตอนนั้นเจ้าบาดเจ็บที่มือ” ซกพุง กล่าว

“ตอนนั้น ที่ข้าแพ้คิมยูซิน ไม่ใช่เพราะเจ็บมือหรอก”

“อะไรนะ”

“เหมือนที่บอกเมื่อกี้ อย่าประมาทคู่ต่อสู้เป็นอันขาด ถ้าหาก....มีสิบคนกำลังจะสู้กับคนคนหนึ่ง สิบคนนั้นจะไม่ทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อเล่นงานศัตรูคนเดียวแน่ เพราะถือว่าตัวเองมีกำลังมากกว่า แต่ว่าหนึ่งคนที่จะสู้กับสิบคน กลับคิดไม่เหมือนกัน คนคนนั้น เขาจะเอาชีวิตเข้าแลก เพราะนอกจากตัวเองแล้ว จะไม่มีใครสามารถปราบสิบคนนั้นได้อีก....ฉะนั้นในแง่ของความคิด สิบคนนั้นถือว่าแพ้ตั้งแต่แรก”

“ความจริงเจ็บมือหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำคัญคือ....ความรู้สึกทางใจมากกว่า”

“แต่ตอนนั้นเจ้า....แค่กระบี่ยังจับไม่ได้เลย”

“นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เพราะตอนอยู่เขตยีซอ ข้าไม่คิดสู้กับเขา ในขณะที่คิมยูซิน บุกมาเพื่อจะสู้ตาย ข้าจึงเป็นฝ่ายแพ้เขาในแง่ความคิด” โพจอง กล่าว

“ความคิดในใจ สำคัญยิ่งกว่าอะไร โพจองไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะประมาทได้ ตรงข้าม...เขา เป็นคนเก่ง เพราะฉะนั้นจงอย่าชะล่าใจแม้แต่น้อย”

“แล้วเพราะอะไร ท่านต้องมาบอกให้ข้ารู้ด้วย”

“เพราะว่า ข้าอยากเห็นการต่อสู้ที่ดุเดือดจริงจัง....ถ้าเจ้ารับมือไม่ไหวหรือยอมแพ้ง่าย ๆ มิเป็นเรื่องน่าเสียดายหรือ ข้าน่ะ ชอบดูการต่อสู้ที่ก้ำกึ่ง อีกอย่างคือจนถึงวันนี้ ข้าไม่อยากให้เจ้าเป็นศัตรูกับข้า” มีซิล กล่าว

แวยาได้กลับมาอยู่ชิลลาอย่างเปิดเผย เพราะยูซินเป็นคนให้เขามาเป็นลูกบุญธรรมของพ่อตน ทำให้เขากับแวยาต้องกลายเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน และยังทำให้เขาได้เป็นองครักษ์ด้วย

“ท่านน่ะ อยากแต่งงานกับองค์หญิงต๊อกมานเพื่อเป็นราชบุตรเขย จากนั้นก็เป็นพระราชาใช่ไหม” แวยา กล่าว

“เพราะอย่างงี้ ถึงทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยองค์หญิงจนได้รับการยอมรับอย่างทุกวันนี้ไง”

“เฮ่อ....ข้าไม่เคยคิดอย่างงั้น” ยูซิน ปฏิเสธ

“หึ....ปากก็ต้องพูดแบบนี้อยู่แล้ว เอาเป็นว่า ข้าจะช่วยท่านแน่นอน เราเป็นชาวคาย่าเหมือนกัน....ไม่ว่าข้าจะเป็นใหญ่ หรือท่านจะเป็นใหญ่ก็ไม่ต่าง ขอเพียงชาวคาย่าได้ครองแผ่นดินชิล ลาก็พอ เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีแห่งการล่มสลายของชนเผ่า ข้ายินดีช่วยท่านเต็มกำลัง เพราะฉะนั้น ยังไงก็ต้องเป็นผู้นำองครักษ์ให้ได้ แล้ว....เราจะไม่มีวันหักหลังท่าน....หึ....” แวยา บอกอย่างจริงจัง

พีดัมเห็นวันเกิดในสมุดที่เขาได้มา จึงคิด ว่าเป็นของต๊อกมาน เลยรีบไปหานาง พร้อมกับเตรียมดอกไม้ไปด้วย

“เป็นห่วงเขาหรือ....แหะ ๆ ข้าเคยสู้กับคนชื่อโพจองอะไรนั่น ไม่เห็นจะเก่งตรงไหน เชื่อว่าท่านยูซิน....”

“การประลองคืออีกอย่าง ไม่เหมือนการต่อสู้ที่วุ่นวาย ที่สำคัญโพจอง....ไม่เคยแพ้ใครในการประลองยุทธ์ หนำซ้ำเท่าที่ประเมินความสามารถของสองคนนี้ ถ้าใครประมาทก็จะมีผลต่อแพ้ชนะทันที....อีกอย่าง ท่านยูซินเพิ่งประลองเป็นครั้งแรก มันคงไม่ง่ายนัก.....แต่ยังไงเขาต้องเป็นผู้นำองครักษ์ให้ได้ หึ....เจ้าทำอะไรน่ะ”

“หึ ๆ คือ....วันนี้ เป็นวันเกิดองค์หญิงไม่ใช่หรือ ระหว่างทางก็เลยเด็ดมาให้ ผู้หญิงนี่แปลกพิลึก ทำไมชอบดอกไม้ก็ไม่รู้” พีดัม กล่าว

“หึ ๆ ชอบดอกไม้แล้วทำไม น่าแปลกมากหรือ”

“ก็มันกินไม่ได้นี่นา ใช้งานก็ไม่ได้”

“เอาเป็นว่าขอบใจ แต่ว่า....ข้าไม่ได้เกิดวันนี้ ข้าน่ะเกิดปี “ซินยอ” วันที่ 10 เดือน 6” ต๊อกมาน กล่าว

“เอ่อ....อ้าว....นึกว่าเป็นวันนี้ซะอีก แหม ....ข้านี่แย่จริง จำผิดจำถูก เฮ่อ ๆ ๆ” พีดัม กล่าว

“หึ....อาจเพราะเป็นผู้ชายอยู่นาน ข้าก็ลืมเรื่องนี้ไปด้วย แต่ไม่นึกว่าเจ้ายังเห็นข้าเป็นผู้หญิงอยู่”

“หึ....อ้อ....องค์หญิง หม่อมฉันอยากหาความรู้ให้มากขึ้น ช่วยพาไปหอตำราหลวงได้ไหม ทุกครั้งที่เห็นท่านยูซินพูดจาเป็นหลักเป็นฐาน หม่อมฉันรู้สึกอิจฉามากเลย”

“งั้นก็ได้” ต๊อกมานกล่าว พร้อมกับพาพีดัมไปที่หอตำราหลวง

“หึ ๆ ๆ”

“ข้าบอกคนดูแลไว้แล้ว ให้เจ้าเลือกอ่านได้หมด”

“ขอบพระทัยองค์หญิง”

พีดัมเริ่มค้นหาข้อมูลของคนที่ชื่อ“ยอนจง” จนได้รู้เรื่องราวของมีซิลว่า ก่อนหน้านี้นางเคยเป็นนางสนมของพระเจ้าจินจิ และมีลูกด้วยกันหนึ่งคนชื่อ “ยอนจง” ซึ่ง พีดัมอดคิดไม่ได้ว่า เขากับ “ยอนจง” น่าจะเป็นคนคนเดียวกัน เพราะมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายมีซิล

พีดัมถูกตามตัวมาพบกับมีซิล นางชมว่าเขาถูกมุนโนสอนมาดี ทั้งฉลาดและใจกล้า

“เทียบกับท่านคงห่างอีกไกล” พีดัม กล่าว

“มาเทียบกับข้าหรือ?”

“หึเทียบกันไม่ได้ล่ะสิ....ปกติอาจารย์มักไม่พอใจข้าอยู่เรื่อย เดี๋ยวก็หาว่าร้ายกาจ เดี๋ยวก็ว่าโหดเหี้ยม....แถมไม่มีความปรานี ฆ่าคนง่าย ๆ ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ ฟังดูเหมือนกับว่า....คล้ายท่านยังไงชอบกล”

“แล้วยังไง เจ้ายอมรับตามที่เขาพูดหรือ....เป็นคนใจไม้ไส้ระกำ ฆ่าคนเป็นผักปลาน่ะ” มีซิล กล่าว

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ข้าเคยฆ่าคนแล้วรู้สึกผิด แต่กลับหัวเราะออกมาไม่รู้ตัว หึ ๆ พออาจารย์เห็นเข้าก็เลยว่า”

“ถ้าอย่างงั้น เจ้าก็อย่าหัวเราะสิ แค่ยิ้มนิด ๆ ที่มุมปาก ให้ดูเหมือนกับว่า เราไม่สนใจ”

“ยิ้มแบบนี้ ใช่หรือเปล่า” พีดัมกล่าว

เมื่อมุนโนรู้ว่าพีดัมไปเอาหนังสือที่วัดก็แสดงความไม่พอใจ แต่พีดัมอ้างว่า มุนโนเคยบอกว่าของพวกนี้เป็นของเขา

“สมัยก่อนอาจารย์เคยพูดแบบนี้จริง ๆ บอกว่า....ทุกอย่างเตรียมการเพื่อข้าทั้งนั้น ....ถ้าข้าจะดู....ของที่เป็นของตัวเองก็ผิดด้วยหรือ” พีดัม กล่าว

“ยังจะเถียงอีก....”

“พรุ่งนี้....ข้าจะเข้าร่วมการประลองฝีมือ”

“เจ้าน่ะหรือจะประลองด้วย ใครอนุ ญาตให้เจ้าไปร่วมประลอง ถ้ากล้าไป เราก็ถือว่าขาดกัน” มุนโน ประกาศเสียงแข็ง

“หมายความว่า ท่านยอมรับข้าเป็นลูกศิษย์แล้วใช่ไหม....หึ....ถ้าไม่ใช่ศิษย์ท่าน ทำไมต้องบอกว่าจะตัดขาดกับข้า....เป็นเพราะว่า....เหตุการณ์ในตอนนั้นใช่ไหม....ตอนนั้นข้ายังเด็กอยู่ เพราะความเป็นเด็กถึงได้ยิ่งวู่วาม ไม่รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี ตั้งแต่นั้นมา แม้จะเห็นข้าเป็นลูกศิษย์ แต่ก็ไม่เคยพูดดีด้วย แม้แต่ความห่วงใยก็ไม่มีให้อีก....ข้านับถือท่านเหมือนพ่อแท้ ๆ แล้วจู่ ๆ ท่านก็เปลี่ยนไปเหมือนคนแปลกหน้า....ถ้าข้าทำผิดจริง ท่านก็ควรบอกให้รู้ว่าผิดอะไรบ้าง ตอนนั้นข้าเพียงแต่....อยากให้ท่าน....ชมซักคำว่าข้าทำดีก็พอ” พีดัม กล่าว

“เจ้าฆ่าคนโดยไม่ยั้งคิด กลับห่วงแต่ว่าจะถูกข้าตำหนิ แต่กลับไม่มีความเสียใจต่อผู้ตายซักนิดงั้นหรือ”

“ฮือ....เพราะเรื่องนี้ใช่ไหมครับ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ท่านเลยไม่ไว้ใจ ไม่ให้ความรักต่อข้าและเริ่มกลัวข้าด้วย....โลกนี้มีอาจารย์ที่กลัวลูกศิษย์ด้วยหรือ....ฮือ..ตอนนั้น ข้ายังไร้เดียงสานัก อย่างน้อยที่สุด ท่านน่าจะกอดข้าบ้างและค่อย ๆ สั่งสอน” พีดัม กล่าวพร้อมกับเดินจากไป

ก่อนถึงวันประลองพีดัมบอกกับต๊อกมานว่า เขาจะช่วยให้ยูซินได้เป็นหัวหน้าองครักษ์ ตามที่นางต้องการ แต่ดูเหมือนว่าต๊อกมานจะไม่เข้าใจความคิดของพีดัมนัก

เมื่อถึงวันประลอง โฮแจแจ้งกติกาให้ทุกคนได้รับทราบ

“เมื่อมาพร้อมแล้ว ข้าจะเริ่มพูดกติกาให้ฟัง การประลองจะเริ่มในเวลาเที่ยงตรง ทุกคนต้องใช้กระบี่ไม้ที่เตรียมให้จึงจะลงแข่งได้ หากมีฝ่ายหนึ่งล้มลงจนลุกไม่ขึ้น หรือยอม สละสิทธิก็แปลว่ารู้ผลทันที และเมื่อประกาศผลแล้ว หากมีการบาดเจ็บล้มตาย ก็ห้ามผูกใจเจ็บต่ออีกฝ่ายหนึ่ง แต่ถ้าสองฝ่ายฝีมือก้ำกึ่ง ก็จะให้ท่านมุนโนและท่านชิซูชี้ขาดในขั้นสุดท้าย ที่สำคัญการประลองนี้ จุดประสงค์เพื่อคัดเลือกผู้นำคนใหม่ จึงไม่เพียงองครักษ์ในเมืองหลวง แม้แต่ต่างเมืองก็มีสิทธิเข้าร่วมประลอง หลังจากผ่านการคัดเลือก จึงมีทั้งสิ้น 32 คน ทุกคนคำนับท่าน “วอนซังฮา” ของเรา” โฮแจ กล่าว

พีดัมโผล่มาที่ลานประลองยุทธ์ พร้อมกับยืนยันกับต๊อกมานว่า งานในวันนี้ เขาจะขอมีส่วนร่วมด้วย




..............จบตอนที่ 33............