วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 32



Queen Seon Deok ( 善德女王/ 선덕여왕)
เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 32
Cr. : Dailynews Online


ในการแข่งขันรอบแรกมุนโนได้ทดสอบไหวพริบของโพจองและยูซิน ซึ่งในรอบแรก โพจอง เป็นฝ่ายชนะไป

“ยินดีด้วยนะ” ซกพุง กล่าว

“ยังเหลือการแข่งขันรอบสองรอบสามอีก อย่าเพิ่งมายินดีตอนนี้เลย”

“หึ....ข้าว่าแข่งไปก็เสียเวลาเปล่า ไม่ว่าด้านไหน ๆ เจ้าก็ชนะหมด คนอื่นจะเก่งกว่าเจ้าได้ยังไง เจ้าว่าจริงมั้ย”

“โดยเฉพาะฝีมือท่านโพจอง ยิ่งไม่มีใครสู้ได้” ยิมจง กล่าว

“อึม....”

“แต่ว่า ได้ยินว่าตอนอยู่เขต “ยีซอ” ท่าน เคยสู้กับท่านยูซินแล้วแพ้เขาใช่ไหม”

“เฮ่อ ๆ ๆ ตอนนั้นเผอิญข้าก็อยู่ด้วย อาจเพราะท่านโพจองบาดเจ็บที่ข้อมือ ไม่สามารถ จับกระบี่ได้ถนัด”

“ไม่เกี่ยวหรอก ตอนนี้ท่านยูซิน....ต่างจากเมื่อก่อนจริงๆ ถ้ามีโอกาสได้ประลองฝีมือกับเขาอีก ข้าจะขอแก้ตัวอีกครั้ง” โพจอง กล่าว

“จริงอยู่ ดูเหมือนฝีมือท่านยูซินจะก้าวหน้าขึ้นก็จริง แต่ว่าเหตุการณ์ตอนนั้นมันชุลมุน ไม่เหมือนการประลองฝีมือ....ถ้าเป็นการประลอง เจ้าเคยเห็นท่านโพจองแพ้ใครมั้ย”

“หึ....แน่นอน แต่ว่า ถึงอย่างงั้นก็ต้องประลองก่อนถึงจะรู้”

พีดัมมาพบมุนโน เขาถามมุนโนถึงการแข่งขันในรอบที่สอง ว่าจะให้แข่งอะไร แต่มุนโนว่า ที่อยากรู้เพราะคิมยูซินสั่งให้มาสอดแนมใช่หรือไม่

“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่อย่างงั้น ข้าเพียงแต่... อยากรู้เท่านั้น”

“ถ้าคิดว่าเขาเป็นเพื่อนเจ้าเลยจะไปเผยความลับละก็ ข้าจะลงโทษเจ้าแน่”

“ข้าไม่พูดหรอกครับ อย่าห่วงไปเลย”

“มีอะไรจะพูดอีกหรือ ถามว่ามีอะไรจะพูดอีกใช่ไหม”

“หึ....ไม่มีครับ ไม่มีอะไร” พีดัม ปฏิเสธ ทั้งที่จริงอยากรู้ใจจะขาด ว่าตัวเองเป็นลูกใครกันแน่

การคัดเลือกผู้บัญชาการองครักษ์รอบที่สองเริ่มขึ้น มุนโนประกาศให้ทุกคนรู้ถึงกติกา

“การคัดเลือกผู้บัญชาการองครักษ์ รอบ ที่สองกำลังจะเริ่มขึ้น....เป็นที่รู้กันมานานว่า ชื่อแคว้นชิลลาของเรานั้น ได้จากการขนานนามของพระเจ้า “จีจึง” ครั้งหนึ่งพระเจ้าจินฮึงเคยตรัสว่า คำว่า “ชิลลา” นั้นมีความหมายสามอย่าง และหมายรวมถึงองครักษ์ด้วย....หัวข้อทดสอบรอบที่สองก็คือ ให้เวลา 3 วัน ไปหาความหมายสามอย่างของคำว่าชิลลา มาให้ข้า”

ทั้งโพจองและคิมยูซินรีบตามหาความหมายของคำว่าชิลลา โดยยูซินมาปรึกษาต๊อกมาน

“ชื่อเมืองหลวงว่า “ซอนาบู” ก็หมายถึงเหล็กอยู่แล้ว”

“ถ้าหมายถึงเหล็กจริง ก็คือ....แหล่งกำเนิด ของแร่เหล็กงั้นหรือ”

“ใช่ สมัยก่อนบรรพชนที่มาบุกเบิก ได้ชื่อว่าเป็นตระกูลแห่งการผลิตเหล็กกล้า โดยมีสายแร่ที่ “คัมอึนโพ” และ “ดัลชอง” เป็นแหล่งผลิตเหล็กที่ดีที่สุด” ไอชอง กล่าว

“ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชิลลามีความเจริญ ด้านโลหะและเครื่องทองสัมฤทธิ์มากกว่าใครในละแวกนี้”

“หึ....เพราะอย่างงี้นี่เอง เราจึงมีทั้งเครื่องมือการเกษตรและอาวุธมากกว่าแคว้นอื่นที่อยู่รอบข้าง”

“ใช่ ถ้าหาก....เอาความหมายนี้เชื่อมโยงกับหน่วยองครักษ์....”

“ก็คือการเพิ่มกำลัง และนี่คือ....ความหมาย แรกของการเป็นองครักษ์” ต๊อกมานหาความหมายแรกได้สำเร็จ

ส่วนความหมายที่สองนั้น ซกพุงกับเหล่าองครักษ์ก็ช่วยกันหาจนสำเร็จเช่นกัน

“ความหมายที่สอง เราตีความจากอักษรฮั่นดูก็ได้” ซกพุง กล่าว

“คำว่า “ชิล” นั้น หมายถึงไม้ที่ถูกโค่นแล้วยังงอกใบใหม่ กลายเป็นแตกสาขาออกไป”

“ส่วนคำว่า “ลา” ก็หมายถึงเอาทุกอย่างรวม ในที่เดียวกัน”

คำตอบในข้อที่สามนั้น ทั้งโพจองและคิม ยูซินยังหาคำตอบไม่ได้ จึงย้อนกลับมาถามต๊อกมานอีกครั้ง

“แตกแยกออกไป แล้วรวมทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดียวหรือ”

“ใช่ ตรงนี้จะเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชิลลาด้วย”

“สมัยก่อนเริ่มต้นที่หัวหน้า 6 ชนเผ่ายกย่องให้คนต่างถิ่นแต่มีความรู้อย่างพระเจ้า “ย็อคกอแซ” เป็นปฐมราชาองค์แรกของแคว้นชิลลา”

“พวกเขาไม่เพียงยอมรับคนต่างถิ่น ยังให้เกียรติถึงขนาดขึ้นครองราชย์ เป็นพระราชาองค์แรกของเรา” ต๊อกมาน กล่าว

“ใช่ ไม่เพียงแต่คนต่างถิ่น ต่อให้เชลยศึก ที่ถูกจับมา เราก็ไม่เคยรังเกียจพวกเขา อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อเรา เราจะยิ่งยอมรับได้เร็วขึ้น”

“เปิดกว้างสำหรับเรื่องที่เราไม่รู้ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ชิลลายิ่งเจริญ ถ้าอย่างงั้น ความหมายที่สองของแคว้นชิลลา ก็คือการสร้างคนรุ่นใหม่หรือเปล่า”

“ใช่ สมัยก่อนพระเจ้าจินฮึง....ทรงส่งเสริมท่านมุนโนกับท่านมีซิล รวมถึงท่านซอวอนให้มีความก้าวหน้า แต่เนื่องจากท่านซอวอนมีฐานะต่ำต้อย ท่านมุนโนก็ไม่มียศศักดิ์ จึงต้องหันไปส่งเสริมท่านมีซิลแทน”

“ทรงดูคนที่ความสามารถของเขา ไม่เกี่ยงว่าเป็นชายหรือหญิง ถ้าใครทำได้ก็จะยิ่งไปไกล” ยูซิน กล่าว

“ใช่ ซ้ำยังไม่เกี่ยงชาติกำเนิด ขอเพียงมีความสามารถโดดเด่น, พระองค์ก็จะทรงสนับสนุน โดยเฉพาะในหน่วยองครักษ์ คนไหนมีความรู้ก็จะได้ทำงานในราชสำนักด้วย”

“สนับสนุนคนใหม่ ให้บ้านเมืองมีความเข้มแข็งหรือ”

“แต่ว่า น่าจะมีความหมายอื่นรวมอยู่ด้วย มันคืออะไรกันนะ” โพจอง กล่าว

“รู้จักเพิ่มศักยภาพในตัวเอง สร้างคนใหม่เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ แค่นี้ก็เป็นความหมายที่สามแล้วนี่ แต่ว่ากลับไม่มีใครเข้าใจถึงจุดนี้” ต๊อกมานเริ่มรู้ว่าเจตนาของมุนโนก็คือ ให้เธอตีความว่าหน้าที่ของผู้นำแคว้นชิลลาต้องทำอะไรบ้าง

เมื่อมีซิลเข้าใจความหมายที่มุนโนต้องการสื่อให้ต๊อกมานรู้ก็แค้นใจ

“เจ้ามุนโนคนนี้....เจ้าหมอนี่....”

“เอ๊ะ....พี่ใหญ่ ท่านบ่นพึมพำอะไรน่ะ”

“มีอะไรหรือครับท่านเซจู”

“ท่านแม่ ท่านโกรธเรื่องอะไรหรือ เพราะคำถามเขา มันยากมากหรือไง....เอ่อ....ความหมายของชื่อชิลลาใน 2 ข้อแรก ข้าก็รู้ แต่ว่า ความหมายที่สามนี่สิ คิดลำบาก” ฮาจอง กล่าว

“มันไม่ใช่....ไม่ใช่คำตอบที่ใครก็สามารถ คิดได้”

“พูดแบบนี้หมายความว่าไง” ซอวอน สงสัย

“อย่าว่าแต่องครักษ์ธรรมดา แม้แต่โพจองก็คิดไม่ได้”

“อ้าว....งั้น....คิดไม่ได้แล้วเราจะชนะได้ไงล่ะพี่ใหญ่”

“ไหน ๆ โพจองก็เป็นฝ่ายชนะรอบแรกไปแล้ว ถ้าคำถามข้อสอง ยกเลิกไปเพราะไม่มีใครตอบได้ งั้นโพจองแค่ชนะการประลองในรอบสุดท้ายก็ถือว่าพอแล้ว”

“แต่ว่าท่านเซจู....”

“ข้อสองให้สละสิทธิการตอบซะ ท่านไปบอกโพจองตามนี้”

เซจองนั่งนิ่งไป เมื่ออยู่กันตามลำพังกับ มีซิล ทั้งสองจึงปรึกษากัน

“กำลังคิดหนักเพราะคำถามของมุนโนอยู่ใช่ไหม....ท่านไม่ต้องเป็นห่วงนักหรอก เพราะคนที่รู้คำตอบจนถึงวันนี้ มีเพียงเราสองคนเท่านั้น”

“แต่เรื่องแบบนี้มันก็ไม่แน่นัก เกิดปะเหมาะเคราะห์ร้าย มุนโนก็รู้คำตอบอีกคนล่ะ” เซจอง กล่าว

“ไม่มีทางหรอก ข้าเชื่อว่ามุนโนเอง ก็ไม่น่าจะรู้คำตอบนี้ได้ อย่างเก่งก็แค่คาดเดา.... แน่นอนว่า คนฉลาดอย่างองค์หญิงต๊อกมานไม่แน่อาจรู้คำตอบก็ได้ แต่ว่า ถึงนางรู้ก็เท่านั้น นางจะเข้าใจเองว่าคำตอบนี้เป็นความลับ ไม่สามารถพูดออกมาได้”

“เฮ่อ....จำได้ว่าครั้งแรกที่ได้ยินคำถามนี้ คือจากพ่อข้า,ใต้เท้า “ยีซอบู” ซึ่งตอนนั้นข้าก็อยู่กับเขา”

“ใช่ และนั่นเป็นรับสั่งสุดท้ายของพระเจ้า “จีจึง” ซึ่งตอนนี้ได้สูญหายไปนานแล้ว” มีซิล กล่าว

“เฮ่อ....นั่น....เหมือนฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง”

มีซิลนึกถึงภาพตัวเองในอดีต เมื่อครั้งที่เป็นสนมของพระเจ้ากึมยุน เมื่อพระองค์ไม่ ทรงคิดแต่งตั้งนางเป็นมเหสี จึงทิ้งโอรสที่เกิดจากพระองค์ไว้โดยไม่เหลียวแล เพราะนางมีเสนาบดีอยู่ในมือ ก็เหมือนมีทหารนับแสน

“ฝ่าบาท จะทิ้งหม่อมฉันจริงหรือเพคะ ....ที่สำคัญ ยังมีลูกชายของเราด้วย ให้เป็นลูกที่เกิดจากสนมได้หรือเพคะ หม่อมฉัน....ถึงขนาดปิดบังราชโองการของอดีตพระราชา เพื่อให้ฝ่าบาท ได้ทรงครองราชย์อย่างทุกวันนี้นะเพคะ”

“มีซิล ต่อไปห้ามพูดเรื่องราชโองการอีก จำไว้ด้วย” กึมยุน กล่าว

ซอวอนมารอฟังคำตอบจากมุนโน พร้อมขอร้องให้มุนโนมาอยู่ข้างเดียวกัน แต่เขาปฏิเสธ และว่าขออยู่เป็นกลาง ไม่เข้ากับฝ่ายไหนทั้งสิ้น เมื่อรู้ดังนั้น ซอวอนจึงรีบกลับมารายงานให้มีซิลทราบ และว่ามุนโนไม่ร่วมมือ แต่ก็ไม่คัดค้าน มีซิลว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น

มีซิลประกาศให้องครักษ์รู้ว่าพระเจ้ากึมยุน มีความประสงค์ที่จะสละบัลลังก์

“ก่อนอดีตพระราชาจะสวรรคตได้มีรับสั่ง....ผู้สืบบัลลังก์ต่อจากพระองค์นั้น ไม่ใช่โอรสองค์รองคือองค์ชายกึมยุน หากแต่เป็น....โอรสขององค์ชายใหญ่ ทงยุน....หรือก็คือพระนัดดาองค์โต องค์ชายแผ่กจองเป็นพระราชาองค์ต่อไป”

“องค์ชายแผ่กจอง คือพระราชาของเรา” โนลิพู กล่าว

“ฝ่าบาท....ๆ....ๆ....ๆ....”

“หึ.....”

เหล่าขุนนางปรึกษากันเพื่อที่จะช่วยให้มี ซิลได้เป็นพระมเหสี แต่ก็ยังมีบางคนที่ห่วงวันที่พระเจ้าจินฮึงสวรรคต

“ท่านได้ยินข่าวลือบางอย่างหรือเปล่า”

“เป็นข่าวที่ไม่มีมูลความจริงไม่ใช่หรือท่าน” โนลิพู กล่าว

“เฮ่ย....แม้จะเป็นข่าวไม่สู้ดีนัก แต่ก็เป็น ความจริง แต่ว่าจะให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ภายนอก มาทำให้เราเสียจุดยืนก็ไม่ถูกเหมือนกัน เพราะที่นางต้องการ ก็คือตำแหน่งมเหสีเท่านั้น หากนางได้เป็นจริง คงมีความจงรักภักดี และถวายการรับใช้ฝ่าบาทอย่างซื่อสัตย์ที่สุด เฮ่ย....เพราะฉะนั้น ก่อนที่นาง....จะบรรลุเป้าหมายที่ต้องการจริง ๆ ขอให้พวกท่านช่วยนางหน่อย”

“ฮึ่ม....”

“ถือซะว่า....เห็นแก่ความอยู่รอดของบ้านเมืองเถอะนะ”

ด้วยความที่มีซิลหลงใหลในอำนาจที่เหนือกว่า จึงคิดที่จะกำจัดมายา เพื่อให้ได้อภิเษกกับพระเจ้าแผ่กจอง และตั้งตัวเองเป็นมเหสี แต่มายากลับ ไม่ตาย ทำให้มีซิลรู้สึก ผิดหวัง

“พระชายา....ไม่ใช่....ในเมื่อพระมเหสีเสด็จกลับมา แล้วเราจะทำไงต่อดี เท่ากับว่าท่าน....ไม่มีวาสนาได้ครองในตำแหน่งนี้”

“ท่านพูดราวกับว่าเป็นเรื่องธรรมดา” มีซิล กล่าว

“แม้จะเป็นเรื่องน่าเสียดายก็จริง แต่ท่านเซจู....ก็ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยรับสั่งของพระเจ้าจินฮึง ไม่ใช่เพราะ....เห็นแก่ตำแหน่งพระมเหสีจึงได้ก่อการไม่ใช่หรือ”

“เพราะฉะนั้น จึงต้องตัดใจจากตำแหน่งนี้ และทำงานเพื่อบ้านเมืองต่อไป ท่านจะพูดแบบนี้ใช่ไหม”

“ใช่ ตามหลักเราน่าจะเปิดเผยประวัติ ชิลลาที่ถูกพระเจ้าจินจิทำลายไป เพื่อเผยแพร่เจตนารมณ์ของพระเจ้าจินฮึงมากกว่า”

“เผยแพร่เจตนารมณ์หรือ”

“ท่านเซจู มีปัญหาอะไรหรือ” พวกขุนนางไม่เข้าใจ

“สิ่งที่พระเจ้าจินฮึงต้องการให้ทายาทรุ่นหลังได้รับรู้ก็คือ การส่งเสริมให้เชื้อพระวงศ์มีอำนาจมากขึ้น แล้วทำไมเราต้องทำอย่างงั้นด้วย”

“ท่านเซจู”

“สงครามก็เป็นการสร้างอำนาจอยู่แล้ว ขุนนางจะถูกมองข้ามความสำคัญ เพราะฉะนั้นแล้วทำไม....เราต้องไปทำตามอีก”

“นี่แปลว่าข้ามองผิด อุดมการณ์ของเราไม่ได้ตรงกันหรอกหรือ ถ้างั้นเพราะอะไร ท่านต้องถอดถอนพระเจ้าจินจิด้วย”

“ถ้าข้าเป็นมเหสี การสร้างอำนาจก็เท่ากับส่งเสริมตัวเอง ถ้าข้าเป็นมเหสี ไม่ว่ามีพระบัญชาอะไร ข้าก็จะทำตามหมด แต่ว่า ตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นมเหสีซักหน่อย”

“หา....”

“ท่านชุยบู ถ้าพระราชามีอำนาจมากขึ้น ขุนนางก็จะหมดความหมายโดยนัย และสุดท้าย ....ก็จะไม่มีการลงมติ ทุกอย่างจะเป็นไปตามความ ประสงค์ของพระราชาไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ท่านต้องการอย่างงั้นหรือ ช่วยบอกหน่อยซิ”

“ฮึ่ม....แม้ท่านจะไม่ยอมช่วยทำงานอีก แต่ข้าจะยึดตามรับสั่งของพระเจ้าจินฮึง เปิด เผยเรื่องประวัติชิลลา ให้เป็นที่รับรู้โดยทั่วกัน” ขุนนาง กล่าว

“ข้าก็ไม่ได้ว่าจะเผาประวัติชิลลาทิ้งไปซักหน่อย....เพียงแต่อยากจะขอแก้นิดหน่อยเท่านั้น....ชื่อแคว้นชิลลาอันประกอบด้วยความหมาย 3 อย่างนั้น ให้เผยแพร่เพียงแค่สองอย่างก็พอ”

“ท่านเซจู ข้าจะขอเตือนท่านไว้ก่อน ห้ามทำแบบนี้เด็ดขาด....นั่นเป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์”

“งั้นหรอกหรือ งั้นก็เข้าใจแล้ว เอาเป็นว่าข้าเข้าใจความหมายของท่านอย่างถ่องแท้”

“วันที่พระเจ้าจินฮึงสวรรคต ข้าอยากรู้ว่าท่าน....ไปทำอะไรในตำหนักหรือเปล่า....แม้ว่าคำให้การของหมอหลวงจะใช้อ้างอิงไม่ได้ก็จริง แต่ในวันที่พระเจ้าจินฮึงสวรรคตนั้น กระถางต้นไม้ที่อยู่ข้างพระแท่น อยู่ดี ๆ ก็เฉาตาย”

“พระเมตตาที่ทรงประทาน หม่อมฉันจะไม่มีวันลืมเพคะ ที่สำคัญฝ่าบาท แม้จะถึงบั้นปลายของพระชนม์....ก็ไม่ต้องให้หม่อมฉันตอบแทนน้ำพระทัยอันประเสริฐ หม่อมฉัน....จะไม่มีวันลืมพระองค์อย่างแน่นอน” มีซิล กล่าว

“อีกอย่าง ในคืนนั้นทหารที่เฝ้าตำหนักใหญ่ จู่ ๆ ก็ถูกโยกย้ายออกไป เรื่องนี้ท่านจะอธิบายยังไง”

“คำตอบของข้าคือเก็บความสงสัยของท่านไว้ อย่าพูดให้มากนัก”

มีซิลอดถามมุนโนไม่ได้ว่าทำไมเขาถึง ตั้งคำถามที่เปราะบางแบบนี้ มีเหตุอะไรแอบแฝงหรือเปล่า

“สมัยก่อนพระเจ้า “จีจึง” เคยตรัสว่าชื่อแคว้นชิลลามีความหมาย 3 อย่าง”

“ใช่ แต่ที่รู้กันมีเพียงสองข้อ ข้อสามไม่เป็นที่เปิดเผยมานาน”

“แต่สมัยก่อนใต้เท้าชุยบูเคยรับบัญชาจากพระเจ้าจินฮึงให้เรียบเรียงประวัติชิลลาขึ้นใหม่ ในนั้นมีเขียนว่าความหมายที่สามคืออะไรไม่ใช่หรือ” มุนโน กล่าว

“เขาอาจจะลืมเลยไม่ได้บันทึกไว้ก็ได้”

“ตำราทั้งหมด 48 เล่ม เปิดมาเล่มแรกว่าด้วยเรื่องของพระเจ้า “จีจึง” ก็ได้ถูก บันทึกไว้แล้ว แต่ได้สูญหายไป หลังพระเจ้าจินจิถูกถอดถอนไม่นาน”

“แล้วยังไง....ท่านจะบอกว่า ข้าแก้ไขดัดแปลงงั้นหรือ” มีซิล กล่าว
“หลังจากนั้นใต้เท้าชุยบูก็เสียชีวิต อย่างมีเงื่อนงำ” มุนโน ยังคิดถึงอดีต

โพจองไปค้นหาประวัติศาสตร์เก่า ๆ เพื่อหาความหมายในข้อที่สาม แต่จู่ ๆ ซอวอนก็มาลากตัวเขากับซกพุงออกไป บอก ว่าชนะรอบแรกแล้ว รอบนี้ไม่ต้องสนใจ เพราะเป็นคำสั่งของมีซิล

ไอชองกับยูซินก็ไปค้นประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน แต่ทั้งสองไม่พบอะไรที่ต้องการ แต่มีข้อสงสัยว่าหนังสือที่ถูกส่งมา มีตราประทับไม่เหมือนกันจึงรีบไปบอกให้ ต๊อกมานรู้ เมื่อต๊อกมานทราบ จึงรีบไปสอบถามจากพระเจ้าจินพยอง

“อาจเพราะเล่มแรกถูกทำลายและมีการเขียนใหม่ จึงทำให้ตราของเจ้ากรมพิธีการดูเปลี่ยนไปก็ได้”

“ถูกทำลายหรือเพคะ”

“หลังจากแม่เจ้ากลับมา แล้วไม่นานเจ้ากับชอนมยองก็เกิด ใต้เท้าชุยบูได้มอบจดหมายให้ข้าฉบับหนึ่ง จากนั้นไม่นาน เขาก็ล่วงลับจากโลกนี้ไป และเหล่าขุนนางก็มีมติให้ท่านเซจองเป็นเสนาบดีแทน”

“ท่านเซจองหรือเพคะ”

“ไม่รู้เพราะบังเอิญหรืออะไร ในช่วงคาบเกี่ยวนั้น จู่ ๆ ประวัติเล่มแรกก็หายไป หึ...และคนที่รับหน้าที่ในการเขียนใหม่ คือท่านเซจอง จึงได้เขียนอีกเล่มขึ้นมา” พระเจ้าจิน พยอง กล่าว

“ถ้าอย่างงั้น...เกี่ยวกับที่มาของชื่อ แคว้น....”

“มีเพียงคำร่ำลือว่าพระเจ้าจีจึงรวมเอาความหมาย 3 อย่างในการขนานนามชื่อแคว้นของเราใหม่เท่านั้น แต่ว่า ความหมายที่แท้จริงกลับไม่มีใครรู้”

“หมายความว่า ไม่มีอยู่ในบันทึกหรือเพคะ” ต๊อกมาน กล่าว

“ประวัติที่ท่านเซจองเขียนใหม่ จารึก ความหมายแค่สองอย่างเท่านั้น หึ....ว่าแต่.... ทำไมท่านมุนโนถึงตั้งโจทย์แบบนี้ได้นะ”

“ถ้างั้น จดหมายของใต้เท้าชุยบู ให้หม่อมฉันดูหน่อยได้ไหมเพคะ”

“เอากล่องใส่จดหมายมาซิ”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เอาไหน เป็นห่วงเสถียรภาพของบ้านเมือง และความอยู่รอดของราชสำนัก จึงได้ถวายงานด้วยความภักดี ขอฝ่าบาททรงตระหนัก....ปกครองบ้านเมืองให้ร่มเย็นด้วยเถอะ” ต๊อกมาน อ่านข้อความในจดหมาย

“เขาแค่บอกว่าเป็นห่วงข้า และห่วงบ้านเมืองของเราเท่านั้น ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้”

“เพคะ”

ต๊อกมานรีบกลับมาบอกยูซินและไอชอง ว่า อาจเป็นไปได้ว่ามีซิลเขียนประวัติใหม่ขึ้นมา

“ก่อนอื่น เราต้องสืบเรื่องท่านชุยบูให้แน่ชัดอีกที เพราะไม่ว่าประวัติเล่มแรกที่หายไป หรือแม้แต่....การเสียชีวิตกะทันหันของท่านชุยบู ก็ล้วนแต่น่าสงสัยทั้งนั้น ข้าอยากให้พวกท่านไปสืบดู ข้าก็จะสืบอีกทางเหมือนกัน”

“พ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านชุยบูคนนี้ สมัยก่อนถือเป็นเสนา บดีคนโปรดของพระเจ้าจินฮึงเคยช่วยงานพระองค์ หลายอย่าง รวมถึงเรื่องศาสนาด้วย” ยองชุน

“ได้ยินว่าเป็นแม่ทัพฝีมือดีด้วย ตอนยึดครองเนิน “เมาอุน” เขาเป็นแม่ทัพคู่พระทัยที่ไปรบด้วยกัน” ยิมจง กล่าว

“ใช่ สุดท้าย ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึง “ยีชังกา” ไม่ว่าพระเจ้าจินฮึงจะเสด็จไปไหน เขามักอยู่เคียงข้างตลอด”

“ไม่เพียงรู้เรื่องประว้ติศาสตร์ ซ้ำยังเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ ที่สำคัญ เขียนบทความได้อย่างน่าทึ่ง เป็นทั้งนักรบและนักวิชาการ”

“จึงรับหน้าที่ในการเรียบเรียงประวัติแคว้น ชิลลา” ยูซิน กล่าว

“ใช่ ตอนเรียบเรียงประวัติชุดนี้ ได้ยินว่าเขาพานักวิชาการ 20 คน ไปอยู่ในวัด “ฮึงยุน” เพื่อทำงานนี้โดยเฉพาะ”

“ไปอยู่วัดฮึงยุน? หมายความว่าใต้เท้า คนนี้....”

“ถ้าเทียบกับปัจจุบัน ก็คล้ายกับท่านมีเซ็ง นั่นแหละเพคะ”

“ท่านมีเซ็งหรือ”

“เท่าที่หม่อมฉันจำได้ในวัยเด็ก เขามีความรอบรู้ในวิชาหลายแขนง ไม่เพียงแต่วรรณศิลป์ แม้แต่โหราศาสตร์ คัดลายมือและดนตรี...อ้อ...เขายังเป็นนักประดิษฐ์ที่เก่งอีกต่างหากเพคะ”

“หลายคนรู้แต่ว่า ท่านชุยบูคนนี้เป็น นักรบกับนักวิชาการเท่านั้น”

“ใช่แล้วเพคะ และที่ต่างจากเปลือก นอกก็คือ เขาเป็นคนมีอารมณ์ขันและชอบแกล้งคนเล่น การละเล่นในวงสุรา บางอย่างเขาก็เป็นคนคิดขึ้นเหมือนกัน”

“อย่างงั้นหรอกหรือ”

“ไม่เพียงแต่แค่นี้เขาเป็นคนละเอียด อ่อนแม้แต่เรื่องลายมือ บางครั้งถ้วยสุราก็จะสลักชื่อตัวเองไว้เป็นอนุสรณ์....ไม่แค่ของใช้ที่เป็นไม้ แม้แต่ก้อนหินก็สามารถเขียนตัวอักษรได้ อ้อ....เขาชอบเขียนตัวอักษรจิ๋วด้วยเพคะ” เมียคิม กล่าว

“ตัวอักษรจิ๋วหรือ”

“ใช่ จำได้ตอนหม่อมฉันยังเด็ก เขา เคยให้ตุ๊กตาแกะสลักพร้อมตัวอักษรเล็ก ๆ เขียนไว้ ตอนเด็กสายตาดีเลยพอมองเห็นบ้าง แต่เดี๋ยวนี้อายุมากแล้ว กลับไปอ่านอีกทีก็มองไม่เห็นแล้วเพคะ”

“อ้อ....”

“ว่าแต่องค์หญิง หม่อมฉันเห็นเรื่องแปลกอย่างหนึ่ง”

“เรื่องอะไร”

“วันก่อนเราไปที่หอตำราหลวง เจอท่านโพจองกับซกพุงกำลังค้นหาประวัติชิลลา อยู่ จากนั้นท่านซอวอนก็เข้ามา บอกให้หม่อมฉันไปอ่านให้พอ ส่วนสองคนนั้นก็ให้ออกจากห้องนั้นไป”

“หึ....งั้นหรือ”

“และหลังจากวันนั้น ท่านโพจองก็ไม่เคยไปที่ห้องเก็บตำราอีกเลย”

“ถ้ามีซิลรู้คำตอบจริง นางก็ต้องบอก ให้โพจองรู้อยู่แล้ว” ยูซินกล่าว

“แต่ว่า คำตอบที่มีซิลรู้ก่อน ท่านมุนโนจะถามได้ยังไง อีกอย่างพฤติกรรมของท่านซอวอนกับโพจอง....”

“หรือว่า....มีซิลรู้คำตอบนี้ก็จริง แต่ไม่กล้าพูดออกมา”

“ข้าว่าอาจเพราะมีซิล....มีส่วนเกี่ยวพันกับคำถามนี้มากกว่า....ถ้าไง ข้าจะไปวัด “ฮึงยุน” ซักครั้ง” ต๊อกมานบอกทุกคน

พีดัมรู้สึกสับสนกับสิ่งที่ได้ยิน จึงรีบถามมุนโนว่าพ่อแม่ที่แท้จริงของตัวเองเป็นใคร เล่นเอามุนโนประหลาดใจ

“ทำไมจู่ ๆ สนใจอยากรู้ขึ้นมา”

“เพราะว่า...ข้าอยากเป็นองครักษ์น่ะครับ”

“อะไรนะ องครักษ์หรือ”

“ในเมื่อตั้งใจจะทำงานให้องค์หญิง ข้าก็อยากเป็นองครักษ์เหมือนคนอื่น แต่ว่า....ถ้าไม่มีหัวนอนปลายเท้าก็เป็นองครักษ์ไม่ได้ จริงมั้ยครับ เลยอยากรู้ว่า พ่อแม่ข้าเป็นใครกันแน่” พีดัมให้เหตุผล

ต๊อกมานรีบไปที่วัดฮึงยุน เพื่อค้นหาความหมายที่สามของคำว่า “ชิลลา”

“ห้องนี้แหละพ่ะย่ะค่ะ ที่สมัยก่อนท่านชุยบู มาทำการเรียบเรียงประวัติศาสตร์ชิลลาในห้องนี้ ซึ่งเรายังรักษาสภาพคงเดิมอยู่ และให้เป็นห้องค้นคว้าหาความรู้สำหรับเด็กรุ่นหลัง”

“แล้วนั่นคืออะไรหรือคะ”

“ไม่ว่าจะอ่านทางตรงหรืออ่านทางขวาง ความหมายก็เหมือนกัน” ไอชอง กล่าว

“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ “หมิงยึกวาง” แปลว่าแสงอาทิตย์สาดส่อง “ยึเทียนหมิง” อาทิตย์ส่องกระจ่างทั่วฟ้า “กวางหมิงเหยิน” ส่องสว่างถึงชาวโลกด้วย อ่านทางขวางก็ความหมายเดียวกัน”

“เป็นวิธีเล่นอักษรไขว้ของคนโบราณ”

“เล่นอักษรไขว้หรือคะ”

“เหมือนที่ทุกคนเห็น ไม่ว่าอ่านตรงหรืออ่านขวางก็ความหมายเดียวกัน เมื่อก่อนตอนท่านชุยบูทำงานหนังสือจนรู้สึกเหนื่อยล้าทีไร ก็จะใช้วิธีเล่นอักษรไขว้ เพื่อเป็นการคลายเครียดให้ตัวเอง ซึ่งไม่เพียงเล่นอักษร เขายังเป็นคนช่างประดิดประดอย ทำโน่นทำนี่ให้เป็นของใช้ขึ้นมา บางครั้งถ้าว่างก็จะนั่งเขียนรูปเป็นการผ่อนคลายอีกทางหนึ่ง”

“แล้วระหว่างที่ท่านชุยบูหาข้อมูลเพื่อจะเรียบเรียงประวัติศาสตร์ ข้อมูลพวกนั้นยังอยู่หรือเปล่าคะ”

“ข้อมูลส่วนใหญ่ ส่งกลับไปราชสำนักให้ทางการเก็บเหมือนเดิม เหลือเพียงบางส่วน ให้เด็กรุ่นหลังที่อยากรู้ ไว้เป็นแหล่งศึกษาหาข้อมูลอ้างอิง” ไต้ซือ กล่าว

“งั้นขอเราดูหน่อยได้ไหมคะ”

“เชิญตามสบาย”

พระเจ้าจินพยองไม่เข้าใจว่าทำไม มุนโนถึงตั้งโจทย์แบบนี้

“หรือว่า ท่านไม่รู้ความหมายที่สาม ของชื่อแคว้นหรือไง”

“หม่อมฉันไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”

“ในเมื่อไม่รู้ แล้วทำไมต้องตั้งโจทย์แบบนี้อีก....แต่ไหนแต่ไรมา ข้าพยายามจะหาความหมายนี้ เที่ยวไปสืบเสาะทุกทาง และไม่รู้ว่า มันจะเกี่ยวกับรับสั่งของพระเจ้าจินฮึงที่ให้ ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือเปล่า....ถ้ามันเกี่ยวจริง สิ่งที่เสด็จปู่เคยรับสั่งไว้ คืออะไรกันแน่..เฮ่ย....ข้านึกยังไงก็นึกไม่ออก เฮ่ย....ข้าไม่รู้ว่าตัวเอง ควรทำอะไรเพื่อเสด็จปู่ได้บ้าง”

“หม่อมฉันก็อยากรู้คำตอบนี้ จึงได้ตั้งโจทย์แบบนี้ออกมา....เพราะเชื่อว่าความหมายที่สาม มีแต่มีซิลคนเดียวเท่านั้นที่รู้”

“นางรู้คำตอบคนเดียวหรือ....ถ้างั้นท่านหมายความว่านางจงใจปกปิดความหมายที่สามไว้ บิดเบือนประวัติศาสตร์งั้นหรือ” พระเจ้า จินพยอง กล่าว

มีซิลบอกให้ทุกคนรู้ว่า ผู้ที่รู้คำตอบมีเพียงนางและท่านเซจองเท่านั้น

“ไม่มีใครรู้คำตอบนี้แน่นอน แผ่นดินนี้คนที่รู้คำตอบ มีเพียงท่านเซจองกับข้ามีซิลเท่านั้น....อีกหน่อยเมื่อข้ากับท่านเซจองไปแล้ว คำตอบนี้ ก็จะถูกฝังไปกับร่างของเราสองคนด้วย”

“เพราะอย่างงี้ แม้แต่ข้าก็ไม่ยอมบอกให้รู้หรือครับ” ฮาจอง กล่าว

“ขอเพียงเราปิดปากเงียบไว้ ต่อให้องค์หญิงต๊อกมานไปถึงวัดฮึงยุน หรือแม้แต่อ่าน ประวัติศาสตร์ทุกเล่มก็ไม่มีทางรู้คำตอบ”

“เพื่อความสงบของบ้านเมือง จะให้นางรู้เรื่องนี้ไม่ได้”

“แน่นอนอยู่แล้ว”

ต๊อกมาน ยูซิน และไอชองหาอยู่นานแต่ก็ไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เมื่อยูซินกลับไปบ้าน แม่ของเขาก็เอารูปแกะสลักที่มีอักษรจิ๋วของท่านชุยบูมาให้ ยูซินเห็นแล้วตื่นเต้นจึงรีบไปพบต๊อกมานทันที

“มันคืออักษรไขว้”

“อักษรจิ๋วด้วย” ยูซิน กล่าว

“เท่าที่รู้คือท่านชุยบูเป็นผู้เชี่ยวชาญการเล่นอักษรไขว้”

“หมายความว่า...”

“จดหมายฉบับสุดท้ายที่เขาถวายให้เสด็จพ่อก่อนจะตาย นั่นอาจจะ....ไม่ใช่จดหมายธรรมดาก็ได้ ประโยคตรงกลาง ท่านเห็นหรือเปล่า เป็นห่วงเสถียรภาพของบ้านเมือง” ต๊อกมาน กล่าว

“แสดงว่า คำว่าเป็นห่วง....”

“ความอยู่รอดของราชสำนัก”

“คำว่า “อยู่รอด”

“จึงได้ถวายงานด้วยความภักดี”

“ด้วยความภักดี”

“ขอให้ฝ่าบาทจงตระหนัก”

“จงตระหนัก”

“อ่านว่า “ซู ย็อค ตู ซอง”....ถึงจะออกเสียงไม่เหมือน แต่หมายถึงมีดโซยับแน่.... มีดโซยับ....จงตระหนัก หรือ....เอ่อ....มีดเล่มนี้จะเขียนอะไรบ้าง”

“อักษรจิ๋ว ตรงนี้มีอักษรจิ๋ว” ยูซิน ชี้ให้ต๊อกมานดู ซึ่งนางมองด้วยความตื่นตะลึง




..............จบตอนที่ 32...........