วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 48



Queen Seon Deok ( 善德女王/ 선덕여왕)
เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 48
Cr. : Dailynews Online


องค์หญิงต๊อกมานแอบเข้ามาในวังหลวงคนเดียวโดยไม่มีลูกน้องติดตามมาด้วย เมื่อเจอพวกขุนนางก็พูดท้าทาย

“เห็นหน้าข้าทำไมแต่ละคนต้องตกใจนัก ยังไม่รีบมาจับข้าอีกหรือ...ไหนว่าฝ่าบาททรงมีประกาศให้จับข้าแล้วไง...แม้ว่า ข้าจะไม่เกี่ยวข้องกับการที่ท่านเซจองถูกทำร้าย แต่เมื่อเป็นข้าใน พระองค์ ก็ควรที่จะ...ทำตามพระบัญชาอย่างเคร่งครัด...เพราะฉะนั้น เชิญมาจับข้าได้เลย”

“เอ่อ...เอาไงดี...นั่นสิ...” พวกขุนนางปรึกษากัน

“แต่ว่า...ควรจะนำตัวใต้เท้าคิม ท่านยองชุน องครักษ์ไอชอง รวมถึงฝ่าบาทด้วย ให้ทุกคนออกมาพร้อมหน้า แล้วไต่สวนความผิดอย่างเปิดเผย”

“เอางั้นเลยนะ...ให้ฝ่าบาทออกมาด้วย ...สอบกันชัด ๆ ไปเลย...ก็ดีนะ...” พวกขุนนาง กล่าว

“หลังจากนั้นแล้ว ถ้าใครกล้าบอกอีกว่า ข้าเป็นผู้บงการให้ลอบสังหารท่านเซจองละก็ ข้า...ยินดีที่จะรับโทษตามกฎหมายทุกอย่าง”
“อุ๋ย...แล้วยังไงล่ะนี่...งงไปหมดแล้ว”

“ถึงข้าจะเป็นนักโทษกบฏ แต่ยังไงก็เป็นถึงองค์หญิง คำขอแค่นี้ คงไม่เกินเลยหรอกนะ...ที่สำคัญ ท่านเซจองซึ่งเป็นผู้รับเคราะห์โดยตรง ก็ควรจะให้มาบอกเล่าที่มาที่ไปอย่างแจ่มชัด เพื่อให้ทุกคนได้รู้ไม่ใช่หรือ”

ฮาจอง และซอวอนเมื่อรู้ว่าองค์หญิงแอบกลับเข้าวังมาคนเดียว ก็คิดว่าไม่มีทางเลือกอื่นจะให้องค์หญิงอยู่ต่อไปไม่ได้

“ใช่ ตอนนี้ เรายังทำอะไรต๊อกมานไม่ได้” มีชิล กล่าว

“อ้าว...ทำไมอย่างงั้นล่ะครับท่านแม่ นางยอมรับว่าเป็นนักโทษ แถมมารนหาที่อีกต่างหาก” ฮาจอง กล่าว

“เพราะชุนชูยังอยู่ทั้งคนน่ะสิ...ถ้าเราเอาชีวิตต๊อกมานเมื่อไหร่ ขุนนางที่รู้เรื่องเข้า จะหันเหเปลี่ยนใจ ไปเข้ากับชุนชูทันที...จากชอนมยองถึงต๊อกมาน จากต๊อกมานไปยังชุนชูต่อ นั่นคือการส่งต่อความชอบธรรม ถ้าตอนนี้ต๊อกมานกับชุนชู ถูกจับได้ทั้งคู่ แล้วเราสังหารพวกเขาซะก็จะหมดเรื่อง แต่นี่ชุนชูยังอยู่ข้างนอก ชุนชู ยังมีเด็กนี่อยู่ทั้งคน”

ด้าน พีดัมก็กังวัลเรื่องที่องค์หญิงแอบ กลับเข้าวังหลวง แต่คิมยูซิน คิดว่ามีซิลจะไม่ฆ่าองค์หญิงง่าย ๆ เพราะยังมีคุณชายชุนชู

“อะไรนะ คุณชายชุนชูหรือ” พีดัม ถาม

“ถ้ามีซิลกล้าทำร้ายองค์หญิง ที่ไปรับโทษแต่โดยดี เหล่าขุนนาง...ก็จะหันมาหาคุณชายทันที...แม้ว่าเราจะมีกำลังน้อยกว่านาง แต่องค์หญิงกับคุณชายชุนชู สามารถเป็นตัวแทนกันได้ ในขณะที่...มีซิลไม่สามารถทำอย่างงั้น นางไม่มีตัวตายตัวแทน...นี่ก็คือ...สิ่งที่เราได้เปรียบกว่านาง องค์หญิงกำลังจะใช้ข้อได้เปรียบนี้ไปตัดสินชี้ชะตากับนาง” คิมยูซิน กล่าว

“ฮึ่ม...หึ...แต่ท่านมีสิทธิอะไร มีสิทธิอะไรที่จะเจ้ากี้เจ้าการ หึ...บังอาจใช้องค์หญิง เป็นหมากในการต่อรองกับมีซิลงั้นหรือ” พีดัม กล่าวแล้วต่อยหน้าคิมยูซินที่ปล่อยให้องค์หญิงเข้าวังหลวงคนเดียว

“พวกเราทุกคน เกิดมาก็คือหมากตัว หนึ่งในโลกนี้อยู่แล้ว...แต่ละคนมีหน้าที่ โลดแล่นไปตามบทบาทของตน ข้าจึงคิดว่า คงไม่มีเหตุผล ที่จะยับยั้งองค์หญิง ไปทวงสิ่งที่เป็นของนางได้” คิมยูซิน กล่าว

“เค้าว่าคนเถรตรง ถ้าเปลี่ยนเมื่อไหร่จะเป็นคนที่น่ากลัวมาก ตอนนี้ ท่านเริ่มเปลี่ยนไปเยอะแล้ว...ตอนนี้ในสมองของท่าน มีแต่บ้านเมืองไม่มีองค์หญิงแล้วใช่ไหม...ถึงไม่ห่วงว่าองค์หญิง จะเป็นยังไง ขอเพียงบ้านเมืองอยู่รอดก็พอ” พีดัม ถาม

“นี่คือ...สิ่งที่ข้ากับองค์หญิงตัดสินใจในแนวทางเดียวกัน และเป็นสายใยเพียงเส้นเดียว ที่จะผูกพันเราไว้ได้”

“หึ...แล้วทำไมต้องเป็นองค์ญิง หึ...ถ้าจำเป็นต้องมีคนใดคนหนึ่งเข้าวังไป น่าจะเป็นชุนชูมากกว่า” พีดัม กล่าว

“เจ้าไม่รู้นิสัยองค์หญิงหรือ”

“หึ...เฮ่ย...เฮ่อ...”

“ตอนนี้มันสายไปแล้ว หน้าที่ของเรา คือทำในสิ่งที่ควรทำเท่านั้น ถือว่าเห็นแก่แผนขององค์หญิง”

“ท่านก็เก่งแต่พูดเท่านั้น” พีดัม กล่าว

“เลิกประชดข้าซะทีเถอะ”

“หมั่นไส้นัก หนอย...ฮึ่ม...” พีดัม กล่าว

“ตายล่ะ นี่...ทำไมต้องฟาดฟันกันขนาดนี้ หา...ทุกคนจะกลายเป็นคนที่น่ากลัวไปหมดหรือเปล่า ทั้งองค์หญิงต๊อกมาน ท่านยูซิน เหมือนกันทั้งนั้น” จุปัง กล่าว

“หึ...ท่านจะไม่พูดอะไรบ้างหรือ...ยืนเฉยทำไมล่ะ คิดยังไงก็ว่ามาเร็ว” พีดัม กล่าว

“เมื่อกี้ ข้าเอง ก็คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน...เชื่อฟังองค์หญิงเถอะ ท่านยูซิน นับแต่นี้ งานขององค์หญิง ข้าจะสานต่อให้เอง มีปัญหาอะไรอีกมั้ย” ชุนชู กล่าว

“เฮ่ย...แย่จริง เฮ่อ ไม่มีทางอื่นแล้วหรือ งั้นก็ตามใจ เฮ่ย...เฮอะ...บ้าชะมัด” พีดัม กล่าว

“สมแล้วที่เป็นองค์หญิงต๊อกมาน ช่างกล้านัก หึ ๆ ๆ” จุปัง กล่าว

คิมยูซิน ย้อนคิดถึงเรื่องที่องค์หญิงต๊อกมานตรัสกับเขาว่าจะแอบเข้าวังหลวง

“ไม่ได้เด็ดขาด จะทรงทำแบบนี้ไม่ได้ มันเป็นความเสี่ยงที่จะหมายถึงชีวิต” คิมยูซิน ห้าม

“ใช่ ข้าก็คิดอย่างงั้นเหมือนกัน”

“องค์หญิง”

“แต่ว่า เว้นแต่ข้าจะเข้าวังด้วยตัวเอง ไม่งั้นการต่อสู้กับมีซิลจะไม่มีวันจบลง...เพราะฉะนั้น จึงอยากให้ท่านเข้าใจ ให้ข้ากลับไปซักครั้ง”

“ไม่มีบ่าวคนไหนที่ยอมให้นายไปตายต่อหน้าได้...และไม่มีผู้ชายคนไหน ที่ยอมให้ ...หญิงที่ตัวเองรักไปตายได้”

“หึ...คนที่เห็นแก่เรื่องส่วนตัว จนละเลยงานใหญ่ ไม่คู่ควรเป็นบ่าวของข้า และยิ่งไม่คู่ควรให้ ข้ารักด้วย...มีซิลเป็นคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจ ขณะที่ข้าหนี หัวซุกหัวซุน นางกลับกุมอำนาจบริหาร ทำให้บ้านเมืองอยู่สงบได้...ข้าจึงต้องกระตุ้นให้นางเดินแผน ขั้นต่อไป และให้เหล่าขุนนางตัดสินใจเลือกข้างให้ถูก อีกครั้ง และตอนนี้ ก็มีแต่วิธีนี้ที่เหมาะที่สุด”

“แต่ว่า...จะให้พวกเราทำใจ ให้องค์หญิงกับคุณชายชุนชู กลายเป็นหมากที่จะรับความเสี่ยงได้ยังไง”

“ทุกคนที่เกิดมา ล้วนถูกชะตาลิขิต ให้เป็นหมากตัวหนึ่งในโลกนี้อยู่แล้ว” องค์หญิง ต๊อกมาน ตรัส

พระเจ้าจินพยอง รู้ว่าการที่องค์หญิงต๊อกมานเข้าวังมาอีกครั้งเพราะนางคิดจะเสียสละตัวเอง

“หม่อมฉันจึงอยากให้ฝ่าบาท ทรงเข้ม แข็งเข้าไว้”

“ฮือ...”

“ราชวงศ์ของเราสืบทอดมานาน 700 ปี ต่อให้มีซิลมีอิทธิพลล้นฟ้าแค่ไหน เหล่าขุนนาง และองครักษ์ ถ้าเห็นการเสียสละขององค์หญิงต้องมีปฏิกิริยาต่อต้านแน่”

“หึ...ใช่ ข้าต้องเข้มแข็งไว้ เข้มแข็งให้มาก หึ...”

ด้าน ไอชอง คิมซอยอน ยองชุน ที่ถูกกักตัวอยู่ เมื่อรู้ว่าองค์หญิงต๊อกมานกลับมาที่วังหลวง ก็ต้องให้ทั้งหมดมีขวัญกำลังใจที่ดีขึ้น ส่วนแทพุง กุกซอน โกโต ก็ไม่อยากเชื่อว่าองค์หญิงจะเข้าวังมาเพื่อช่วยพวกตน

องค์หญิงต๊อกมาน ให้คนแอบส่งจดหมาย ไปให้จูจิน

“แม้จะถูกเสือกัดเข้าที่มือ แต่ว่า ข้าจะไม่ดึงออกง่าย ๆ ไม่เกินวันพรุ่งนี้ ข้าจะยื่นมือให้ลึกกว่านั้นอีก แล้วไม่นาน มีซิลอาจจำเป็นต้องก่อการเป็นครั้งที่สอง และด้วยจุดยืนของนางในวันนี้ คนที่นางต้องระวังมากที่สุด ก็คือกำลังทหารของท่านจูจิน สุดท้าย ท่านคงต้องเลือกซักทาง ยอมที่จะถูกนางยึดกำลังทหาร แล้วไว้ชีวิตท่านให้อยู่ใกล้ตัว หรือว่า มาช่วยข้าทำงานดีกว่า”

“ยื่นมือให้ลึกกว่านั้น จะหมายถึงเรื่องนี้หรือเปล่า ยอมให้นางไต่สวน” จูจิน คิด

เหล่าขุนนาง และองครักษ์อยากรู้เรื่องจริงขององค์หญิงต๊อกมานจึงอยากให้มีการไต่สวนอย่างเปิดเผย

“ใช่ คนที่เป็นองค์หญิงแต่กลับกลายเป็นนักโทษกบฏ จริงเท็จยังไงไม่รู้ แต่ให้พิจารณาอย่างเปิดเผยจะดีที่สุด” ยิมจง กล่าว

“ข้าก็เห็นว่าวิธีนี้สมเหตุสมผล” องครักษ์ กล่าว

“ที่สำคัญ นางยอมกลับมาอย่างไม่กลัวตาย เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง”

“ข้าก็รู้สึกตกใจกับการกระทำขององค์หญิงเหมือนกัน”

“ถ้าอย่างงั้น แปลว่าความเห็นของพวกเรา ตรงกันหมดใช่ไหม เราขอเรียกร้องให้ไต่สวนองค์หญิงอย่างเปิดเผย” โฮแจ กล่าว แล้วรวมกลุ่มไปเรียกร้อง

“หือ...ใครโวยอะไร หา...ใครมาโวยวาย” ฮาจอง กล่าว

“เฮ่ย...องค์หญิงนี่นะ ช่างตลบหลังพวก เราได้แสบจริง ๆ ไม่รู้จะพูดยังไงดีแล้ว” มีเซ็ง กล่าว

“อะไรหรือท่านน้า ได้ยินว่า พวกองครักษ์ ไปขออะไรฝ่าบาทใช่ไหม” ฮาจอง กล่าว

“ก็ใช่น่ะซี้ เหมือนที่คิดไว้นั่นแหละ เดี๋ยวก่อน ว่าไงท่านซอวอน หึ...นี่...ตอนนี้พี่ใหญ่อยู่ไหน บอกให้นางทำอะไรซักอย่างเร็วเข้า” มีเซ็ง กล่าว

“นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจได้ง่าย” ซอวอน กล่าว

“อะไรนะ โอ๊ย...หึ...”

“เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ ได้ยินว่าฝ่าบาท...” โพจอง เข้ามา

“ฝ่าบาททรงเป็นอะไรอีก” ซอวอน ถาม

“พอได้ยินเสียงพวกองครักษ์ ฝ่าบาทก็เสด็จออกจากตำหนักทันที”

“อะไรนะ”

“แล้วทหารล่ะทำไมไม่ขวางพระองค์ไว้ เฮ่ย...” ซอวอน กล่าว

“เดี๋ยว...ท่านพ่อ” โพจอง กล่าว

“เอ่อ...ตายล่ะ เดี๋ยว...รอข้าด้วย” มีเซ็ง กล่าว

“โอ๊ย...แย่จริง ปวดหัว” ฮาจอง กล่าว

ซอวอน มีเซ็ง โพจอง และ ชิซูรีบไปที่ตำหนักเพื่อยับยั้งพระเจ้าจินพยองไม่ให้ออกจากตำหนัก จนทำให้อาการประชวรกำเริบต้องพากลับเข้าไปที่ตำหนักอีกครั้งและตามหมอหลวงมารักษา จากนั้นมีซิลก็ออกไปพบพวกเหล่าองครักษ์

“ทุกคนมาชุมนุมอะไรอยู่แถวนี้ ฝ่าบาททรงประชวรหนักก็รู้อยู่ พวกเจ้ามีเรื่องอะไรนักหนา ถึงต้องมารบกวนที่หน้าตำหนักยินคังน่ะ...จะมีอะไรสำคัญกว่าพระอนามัยของฝ่าบาทอีก บอกข้ามาหน่อยซิ” มีซิล ถาม

“เราเพียงแต่ต้องการ ให้เรื่องขององค์หญิงได้รับการ....” ยิมจง กล่าว

“เรื่องนี้จะมีการไต่สวนแน่นอน” มีซิล กล่าว

“อะไรนะ” ยิมจง กล่าว

“ท่านซอวอนจงฟัง ให้ไปกำหนดวันเวลาและสถานที่ พร้อมทั้งแจ้งองครักษ์และขุนนาง ทั้งหลายให้มาฟังโดยพร้อมเพรียง” มีซิล สั่ง

“ครับ” ซอวอน กล่าว

“เดิมที ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่าง เงียบ ๆ ไม่ให้เสียเลือดเนื้อ...แต่ดูเหมือนว่า เหตุการณ์จะไม่เป็นอย่างที่คิด” มีซิล กล่าว

“หา...งั้น...หมายความว่า...” ฮาจอง ถาม

“วันที่จะมีการไต่สวนองค์หญิง ให้ส่งจดหมายไปยังขุนนางผู้ใหญ่ทุกฝ่ายที่จะมาร่วมเป็นสักขีพยานก่อน ยังมีอีก แม่ทัพที่มีไพร่พลเกินกว่า 1 พันคนขึ้นไป ให้เรียกตัวกลับมาเมืองหลวงให้หมด ที่สำคัญ ข้าจะใช้กฎความมั่นคงไปทั่วทั้งแคว้น ให้ทหารทุกหน่วยเข้าประจำการ อย่ามีความเคลื่อนไหวเด็ดขาด หลังจากนั้น ให้ขุนนางทุกคนลงชื่อ มอบไพร่พลส่วนตัวให้เราดูแลชั่วคราว”

“ถ้าพวกเขาไม่ยอมล่ะ”

“ถ้าใครไม่ยินยอม แสดงว่าจะแปรพักตร์ไปอยู่กับชุนชู งั้นก็จัดการซะ”

“ได้”

“ในวันนั้น เขตเมืองหลวงชั้นใน ให้ท่านเซจองและมีเซ็งส่งทหาร 3 พันคนไปเฝ้าตามจุดต่าง ๆ โดยให้ฮาจองบัญชาการ”

“ได้ครับ”

“ส่วนชิซูดูแลทหารที่อยู่ในวัง ส่งพวกองครักษ์ไปถวายอารักขาฝ่าบาทแทนพวกที่ประจำแต่ทำงานไม่เอาไหน”

“ครับ”

“ปัญหา...ยังอยู่ที่ท่านจูจินอีกคน” มีซิล กล่าว

คุณชายชุนชู คาดเดาความคิดของมีซิล จึงรีบไปพบจูจินและสอบถาม

“ใช่ ต้องเป็นอย่างงั้นแน่ เว้นแต่วันพรุ่งนี้ท่านจะยอมมอบกำลังทหารที่มี ให้แก่มีซิลทั้งหมด ไม่งั้นนางจะไม่เชื่อท่าน.... จริงอยู่ที่ว่า ถึงไม่มีทหาร ท่านก็อยู่สบายเหมือนเดิม แต่ว่าหลังจากท่านไม่มีไพร่พลที่จะเกื้อหนุนนาง คิดว่าคนอย่างมีซิล ยังจะเห็นความสำคัญของท่านมากน้อยแค่ไหน”

“แล้วองค์หญิงล่ะ นางมีความจำเป็นต้องใช้ข้ามากนักหรือ”

“ท่านเป็นผู้นำทหารคนหนึ่ง สามารถต่อกรกับไพร่พลของขุนนางผู้ใหญ่ เป็นกำลังสำคัญให้เราได้ อีกอย่าง ด้วยทหารที่ท่านมีอยู่ อนาคตถ้าจะรวมสามแคว้นเป็นหนึ่ง ก็ยังช่วยได้อีกมาก...ตอนนี้ ท่านคงกำลังประเมินอยู่ว่า จะต่อกรกับมีซิลได้หรือเปล่า...คนเราถ้าใจแน่วแน่ แม้แต่หนูก็กลายเป็นเสือได้ ท่านก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือ องค์หญิงยังกล้าเข้าวังคนเดียวเลย”

“หึ....”

“ตกลงว่ายังไงบ้าง ท่านอยากจะเป็นหนู... หรืออยู่อย่างเสือดีกว่า” ชุนชู ถาม

ตกกลางคืนมีซิลกับซอวอน ได้มาพบจูจิน ตามที่ชุนชูคาดไว้

“นี่ก็ดึกมากแล้ว มีธุระอะไรอีก”

“เชิญนั่งลงก่อน....ให้ท่านรีบกลับมาเมืองหลวง เกรงว่าจะไม่ได้รับความสะดวก ข้าก็เลยมาเยี่ยม” มีซิล กล่าว

“ขอบคุณมาก ข้ารู้สึกดีใจซะอีกที่ได้อยู่กับลูกชาย จริงสิ เห็นเจ้าพีทันบอกว่า จะมีการไต่สวนความผิดขององค์หญิงจริงหรือ”

“ใช่ เรากำลังหาวันอยู่ ได้แล้วจะแจ้งให้ทุกคนรู้” ซอวอน กล่าว

“งั้นหรือ”

“แต่ว่า ข้ายังมีห่วงอยู่ กลัวว่าถึงวันนั้น ทหารขององค์หญิงอาจถือโอกาสมาก่อกวน จึงเป็นห่วงว่าเมืองหลวงจะเกิดความวุ่นวายขึ้น...ถ้าไงอยากจะขอยืมกำลังทหารของท่านหน่อยได้ไหม”

“อ้อ...เรื่องนี้หรือ ไม่มีปัญหาอะไรเลย”

“แต่ท่านไม่ต้องสั่งการเอง แค่มอบอำนาจมาก็พอ แล้วข้าจะให้คนของกรมทหารมารับช่วงต่อจากท่าน” ซอวอน กล่าว

“ได้ซี่ จะเป็นไรมี มอบทหารให้พวกท่าน ไม่ใช่เรื่องยากอยู่แล้ว เอ่อ...แต่ว่า...ท่านคิดจะทำไงกับองค์หญิงกันแน่ ข้าอยากรู้ว่า เรื่องจะไปทางไหน ถึงมีเหตุผลพอที่จะมอบกำลังให้ท่าน...สภาพขององค์หญิงตอนนี้ ก็เหมือนกับ...คนที่เอามือยื่นเข้าไปในปากเสือฉันใดก็ฉันนั้น ซึ่งดูไม่ออกว่า ผลจะออกมายังไงกันแน่” จูจิน กล่าว

“ถ้ามันยุ่งนัก ก็ตัดมือทิ้งก็สิ้นเรื่อง”

“อ้อ...งั้นหรือ ใช่ ถูก...หึ...” จูจิน กล่าว

“ตาแก่คนนี้ คงต้องให้ท่านซอวอนจัดการด้วยตัวเองซะแล้ว” มีซิล กล่าว เมื่อออกมาจากบ้านจูจิน

“หา....”

“องค์หญิงต๊อกมาน...มีการติดต่อกับเขาแล้ว” มีซิล กล่าว

“ท่านรู้ได้ยังไง”

“เรื่องของเสือไงล่ะ เป็นเรื่องที่ข้าเคยเล่าให้ต๊อกมานฟังคนเดียว และสมัยก่อนพระเจ้าจินฮึงก็เคยตรัสให้ข้าฟัง”

เมื่อมีซิล กลับไป ลูกชายของจูจิน เข้ามาสอบถาม

“ท่านพ่อคุยอะไรกับพวกเขาครับ”

“นางให้พ่อเป็นเสนาบดี และมอบที่ดินอีกมหาศาล แลกกับกำลังทหารที่เรามีอยู่ทั้งหมด แล้วเจ้าเห็นว่าไงบ้าง”

“ถ้าเป็นท่านเซจูคนเดิม ข้าก็เชื่อคำพูดของนาง หรือต่อให้เป็นไปไม่ได้ เมื่อนางเอ่ยปากก็ต้องทำได้แน่”

“แล้วยังไง”

“แต่ตอนนี้ องครักษ์หลายคน เริ่มมีความไม่มั่นใจ...ลำพังเรื่องมอมเหล้าใต้เท้าคิมกับท่านยองชุน หรือกีดกันไม่ให้พวกเขาเข้าประชุม ล้วนแสดงให้เห็นว่า ท่านเซจูได้เปลี่ยนจากคนเก่าโดยสิ้นเชิง เหมือนกับว่า นางกำลังไขว่คว้าบางอย่างอยู่”

“ท่านโฮแจให้คนมาส่งข่าวครับ” พ่อบ้าน เข้ามา

“ท่านโฮแจหรือ ส่งข่าวมาว่าไง” ลูกชายจูจิน ถาม จากนั้นก็วิ่งออกไปจากบ้านเพื่อพบโฮแจ

“ทำไมให้เรามาพบที่นี่ล่ะครับ”

“เปล่าหรอก ท่านโฮแจบอกว่าได้รับจดหมายจากพวกเราถึงได้มานี่” ยิมจง กล่าว

“เจ้าก็ได้ข่าวจากข้าเหมือนกันหรือ” โฮแจ ถาม

“ใช่ นี่แปลว่า...”

เหล่าองครักษ์ได้รับจดหมายเหมือน ๆ กัน นัดแนะให้ไปพบกันยังที่แห่งหนึ่งนอกวังหลวง ด้านแวยา และคุณชายชุนชู จึงเตรียมกำลังไว้ตีให้พวกนั้นแตกกระเจิง ไม่กลับเข้าไปรวมตัวในวังอีก

วันไต่สวนได้ถูกกำหนดขึ้นเป็นช่วงเที่ยงในวันรุ่งขึ้น โฮแจ จึงมาบอกให้พ่อตนเองรู้ เพื่อให้ช่วยยืนยันว่า มีซิล ได้ก่อกบฏ แล้วโยนความผิดให้องค์หญิงต๊อกมาน ด้านพีดัมและคิมยูซิน ได้มาหาจูจิน เพื่อรอฟังการตัดสินใจว่าจะอยู่ฝ่ายไหน สุดท้ายจูจินตัดสินใจเป็นพวกเดียวกับองค์หญิงต๊อกมาน ได้นำกำลังทหารไปสมทบกับคุณชายชุนชู

ซอวอน เข้ามารายงานมีซิลว่าทุกฝ่ายเตรียมพร้อมรับมือวันพรุ่งนี้แล้ว

“ท่านจูจินล่ะ” มีซิล ถาม

“ข้าให้ซกพุงไปจัดการ ส่งคนที่ไว้ใจไปเฝ้าดูอยู่”

“ถึงวันพรุ่งนี้ อย่าให้เกิดความผิดพลาดแม้แต่น้อยรู้มั้ย”

“แน่นอนอยู่แล้ว...ท่านเซจู เป็นไรหรือเปล่าครับ”

“กว่าจะมาถึงวันนี้ รู้สึกเสียเวลาไปอย่างไม่น่าเชื่อ”

“แต่สุดท้าย ก็หาตำแหน่งที่เหมาะกับท่านได้”

“เหมาะกับข้า ตำแหน่งนี้น่ะหรือ”

“ถึงวันพรุ่งนี้ ประวัติศาสตร์ของชิลลาจะมีการพลิกโฉมใหม่”

“ใช่ รอแค่พรุ่งนี้เท่านั้น พรุ่งนี้....” มี ซิล กล่าว

เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อถึงเวลาไต่สวน ทุกคนมารวมตัวที่ลานฝึก โดยพวกทหารและเหล่าองครักษ์ของฝ่ายมีซิลถูกพาไปที่ลานฝึกเพื่อเป็นพยานเรื่องต๊อกมานเป็นกบฏ ส่วนชิซูได้นำองครักษ์ส่วนหนึ่งไปถวายอารักขาพระเจ้าจิน พยอง ด้านซอวอน ได้นำคำสั่งของมีซิล ไป มอบให้กับเหล่าผู้นำทหารแต่ละหน่วย โดยอ้างกฎความมั่นคง สั่งห้ามตามหัวเมืองต่าง ๆ ห้ามมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชา โดยที่ขุนนางและเชื้อพระวงศ์ต้องมอบอำนาจให้ทางการ ทั้งหมด

“ขอให้ทุกท่านช่วยลงนาม ในหนังสือมอบทหารให้แก่เราด้วย” ซอวอน กล่าว

“อะไรนะ...มอบทหารให้ทางการหรือ ...แล้วเราจะเหลืออะไร...ก็เหลือแต่ตัวน่ะสิ...”

“เป็นไปไม่ได้ เรื่องอะไรมายึดกำลังทหารของเราไป ข้าอยากพบท่านเซจูหน่อย”

“ความหมายก็คือไม่เห็นด้วยกับคำสั่งท่านเซจูใช่ไหม” ซอวอน ถาม

“เอ่อ...คือ...ใช่ ข้าไม่เห็นด้วย” ชายแก่ กล่าวแล้วก็ถูกฆ่าทิ้ง

“ท่านอื่นจะว่าไงบ้าง หรือว่ายังไม่เห็นด้วย กับคำสั่งของท่านเซจูอีก” ซอวอน ถาม

“ว้าย...ไม่ใช่...เอาเถอะ ๆ...จะเอาไงก็ตามใจ”

เมื่อถึงเวลาไต่สวนองค์หญิงต๊อกมาน กลับมีขุนนางมาฟังเพียง 40-50 คน มีซิลไม่พอใจ คาดหวังว่าจูจิน จะนำกำลังทหารมาอีก แต่จูจินกลับไปสวามิภักดิ์ต่อคุณชายชุนชูแล้ว

“ถึงเวลาแล้ว ที่เราจะเคลื่อนพลเข้าเมืองหลวง...ไม่เพียงแต่จับกุมผู้คิดร้าย หวังทำลายรากฐานของบ้านเมือง ยังต้องช่วยฝ่าบาทให้ปลอดภัย ขอให้ใช้ความมุ่งมั่น เพื่อกอบกู้บ้านเมืองของเรา...เพื่อความยั่งยืนแห่งชิลลา จะอยู่คู่พวกเราตลอดไป” ชุนชู ประกาศเคลื่อนทัพ

ซกพุง กลับมารายงานมีซิลว่า ทำงาน พลาดเพราะยอจงนำกำลังมาช่วยเหล่าองครักษ์ก่อน มีซิลจึงสั่งปิดประตูวังทุกด้าน ให้ทหารทุกคนเตรียมตัวรับมือ ด้านคิมยูซินได้นำกำลังองครักษ์ไปที่ตำหนักยินคัง เมื่อโพจองรู้ก็รู้สึกตกใจ

ในขณะที่กำลังจะเริ่มการไต่สวน ก็ได้มีใบปลิวโปรยลงมาทั่ววังหลวง

“นั่น...นั่นอะไรน่ะ” กุกซอน กล่าว

“อ้าว...มีกระดาษโปรยมาอีกแล้ว...นั่นสิ...ช่างโปรยจริง...คราวนี้เขียนอะไรอีกล่ะนี่...”

“เฮ้ย...นั่น...นั่นคือ...เอ่อ...” มีเซ็ง ตกใจ รีบหยิบขึ้นมาอ่าน

“ในนี้เขียนว่า...มีคนไปช่วย...ฝ่าบาทแล้ว...เอ่อ...” มีเซ็ง กล่าว

“มีคนไปช่วยฝ่าบาท ไม่น่าเชื่อ” ยองชุน และคิมซอยอน เมื่อรู้ข่าวก็ดีใจ

“องค์หญิง ทรงทำสำเร็จแล้ว....สำเร็จจริง ๆ” ไอชอง กล่าว






..............จบตอนที่ 48................



วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 47



Queen Seon Deok ( 善德女王/ 선덕여왕)
เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 47
Cr. : Dailynews Online


ชิซูประกาศให้พวกต๊อกมานและพวก วางอาวุธ หากไม่ออกมามอบตัวดี ๆ จะเข้าไปจับกุม และถ้าขัดขืนก็จะสังหารทันที

“หม่อมฉันขออาสาฝ่าวงล้อมออกไป.... หน้าที่ของแวยา คือคุ้มครององค์หญิงไปจากที่นี่” คิมยูซิน กล่าว

“ท่านไม่ได้ยินหรือ ชิซูมาด้วยตัวเอง สภาพอย่างท่านตอนนี้สู้เขาได้ที่ไหน” แวยา กล่าว

“ไม่งั้นจะให้ทำไงล่ะ มีทางออกดีกว่านี้หรือ....ถ้าวันนี้องค์หญิงถูกจับไป ทุกอย่างก็จะพังหมด”

“ข้าเชื่อว่าน่าจะมีทางอื่น ขอเพียงตั้งสติ ค่อย ๆ คิดดู” องค์หญิงต๊อกมาน กล่าว

“รอไม่ได้อีกแล้ว กว่าจะหาทางออกได้ เวลาก็ไม่คอยท่า” คิมยูซิน กล่าว

“บ้าชะมัด เฮ่ย....มากันเยอะมากพ่ะย่ะค่ะ” แวยา กล่าวทูล หลังออกไปดู

“เอ่อ....หึ....ถ้าไง หม่อมฉัน....มีวิธีบาง อย่าง จะขอเสนอ” โซวา กล่าวทูล

ชิซู เห็นว่าไม่มีความเคลื่อนไหว จึง สั่งให้ทุกคนเตรียมตัวบุกเข้าไป ด้านโซวาเสนอที่จะปลอมเป็นองค์หญิงต๊อกมานเพื่อหลอกล่อ และให้ไอชองและคิมยูซินพาองค์หญิงหลบหนี

“ไม่ได้ ข้าทำอย่างงั้นไม่ได้ ยังไงข้าก็ไม่ยอมทำ” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส

“องค์หญิง ทรงรับปากเถอะเพคะ เราไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว” โซวา กล่าวทูล

“ไม่ได้ ทำแบบนี้มันเสี่ยงไป ยังไงข้าก็ไม่เห็นด้วย”

“ตอนนี้ทุกคนมีความเสี่ยงพอกัน ทรงรับปากเถอะเพคะ”

“ใช่ วิธีนี้ก็ไม่เลว น่าจะลองดูซักครั้ง” แวยา กล่าว

“ท่านแวยา ข้าไม่เห็นด้วย มันโหดร้ายเกินไป” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส

“ทรงตัดสินพระทัยเถอะเพคะ เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”

“ไม่มีก็หาให้มีสิ”

“แต่เราไม่มีเวลา อย่าทรงลังเลอีกเลยเพคะ”

“ไม่ได้”

“องค์หญิง”

“ข้าบอกว่าไม่ได้, ยังไงก็คือไม่ได้ หึ...”

“ได้โปรดเถอะเพคะ”

“พอที อย่ามาพูดเรื่องนี้กับข้าอีก”

“หึ....ต๊อกมาน”

“หึ....”

“เชื่อแม่เถอะนะ ได้โปรด”

“ท่านแม่”

“ฮือ....คำพูดของแม่ เจ้าต้องเชื่อฟัง ได้ยินมั้ย” โซวา กล่าวทูล

“ฮือ....” องค์หญิงต๊อกมาน เริ่มใจอ่อน

ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือดยกแรกพวกชิซูเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่ยังไม่ยอมถอย

“หน้าที่คราวนี้ไม่ใช่จับองค์หญิง แต่ให้สังหารนาง....ถ้าเสร็จงาน ใครก็ไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ทั้งสิ้น ฉะนั้นขอให้ปิดหน้าไว้” ชิซู กล่าว

“หึ....เราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ หึ....แค่ชั่วพริบตา....หึ....ทำไงต่อดีครับ ให้กลุ่มที่สองเข้าไปดีมั้ย” ซกพุง กล่าว

“ข้างในต้องมีใครอยู่แน่....ใครซักคนที่ฝีมือร้ายกาจ คิมยูซินบาดเจ็บสาหัสอยู่ แสดงว่ายังมีคนอื่นคอยช่วย”

“ถ้าอย่างงั้น ให้เข้าไปสองกลุ่ม จะได้ช่วยกันดีมั้ยครับ”

“ถ้าเป็นที่กว้าง ใช้คนมากอาจจะได้เปรียบ แต่ในห้องคับแคบ ถึงส่งเข้าไปเป็นสิบกลุ่ม ผลออกมาก็ค่าเท่ากัน” ชิซู กล่าว

“หึ....ถ้าอย่างงั้น แล้วเราจะ....”

“ข้าจะเข้าไปด้วยตัวเอง เจ้าสองคน.... ตามข้ามาด้วย” ชิซู สั่ง

ชิซู บุกเข้าไปด้านในเพื่อเล่นงานองค์หญิงต๊อกมานและพวก แต่กลับหลงกลคิมยูซิน เพราะไม่พบองค์หญิงต๊อกมาน แต่ถูกจู่โจมจากคิมยูซิน ด้านโซวาปลอมเป็นองค์หญิงต๊อกมานเพื่อให้พวกชิซูตามล่า ส่วนแวยาได้พาตัวองค์หญิงต๊อกมานหนีออกไป

โซวา ถูกชิซูตามล่าเพราะเข้าใจว่าเป็นองค์หญิงต๊อกมาน นางถูกชิซูทำร้ายจนบาดเจ็บ จากนั้นชิซูถึงได้รู้ว่า เขาเล่นงานคนผิด กลายเป็นโซวาหญิงที่เขารัก

“โซวา” ชิซูตกใจ

“ฮือ....ฮือ....ท่านชิซู ฮือ....”

“โซวา”

“ฮือ ๆๆ นี่คือ....หึ....ทางเดิน....ที่เราต้องเลือก...อย่างหนีไม่พ้น”

“โซวาๆ....”

“30 ปีนี้ ฮือ....อ้อมไปอ้อมมา ฮือ.... สุดท้าย....ก็ไม่พ้นจุดนี้ ฮือ....โอ๊ะ....” โซวา กล่าวแล้วสิ้นใจ

“โซวา ๆ....โซวา ๆๆ” ชิซู ร้องตะโกน

องค์หญิงต๊อกมาน รู้สึกสังหรณ์ใจ จึงย้อนกลับมาหาโซวา จึงได้พบกับพีดัมและชุนชูที่ตามมาทีหลังจึงได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ด้านชิซู ไม่สามารถจับตัวองค์หญิงต๊อกมานได้ เมื่อฮาจอง และซอวอนรู้จึงไม่พอใจ ผิดกับพระเจ้าจินพยองและพระมเหสีมายา เมื่อรู้ว่าต๊อกมานหนีรอดไปได้ก็โล่งใจ แต่อาการป่วยก็ยังไม่ดีขึ้น

ไอชองรู้สึกตัวขึ้น ยองชุนจึงบอกว่า ทหารที่ไปตามล่าองค์หญิงกลับมาหมดแล้วดูเหมือนจะกลับมามือเปล่า แต่ยูซินโชคดีที่หนีไปได้ ด้านโกโต กุกซอน และแทพุง เมื่อรู้ว่าองค์หญิงยังไม่ถูกจับตัวก็หายเป็นห่วง

องค์หญิงต๊อกมานเสียใจมากที่รู้ว่าโซวาถูกฆ่าตายแล้ว

“ท่าน...ท่านแม่...ฮือ..ทำไมถึงเป็นแบบ นี้...ฮือ...เพราะอะไร ทำไมทำกับข้าแบบนี้ ฮือ... ท่านแม่ ฮือ...ท่านทิ้งข้าได้ลงคอหรือ...โลกนี้จะมีใคร... เสียสละเหมือนท่านได้อีก ฮือ... โลกนี้จะมีแม่คนไหน มีแม่คนไหนบ้าง...ที่ยอมตาย...ตั้งสองครั้ง เพื่อข้าขนาดนี้ ฮือ...ท่านแม่...ๆๆๆ ฮือ... ท่านแม่ ๆ ฮือ ๆๆ ท่านแม่, ท่านตื่นมาเร็วเข้า ฮือ ๆๆ ท่านแม่ ฮือ ๆๆ ท่านแม่ ฮือ ๆๆ ท่านแม่ ๆ ท่านตื่นมาเร็ว ท่านแม่ ฮือ....ท่านแม่ ฮือ ๆๆ ท่านแม่ฮือ ๆๆ ฮือ ๆๆ”

ซกพุง เข้ามารายงานมีซิลเรื่องที่โดนหลอกให้หลงกล

“หลอกให้เราไปตามล่า นึกว่าเป็นองค์หญิงเลยสังหารนางซะ แต่สุดท้ายปรากฏว่าไม่ใช่ และขณะนั้น องค์หญิงต๊อกมาน....ก็ทรงหนีไปได้”

“จะบ้าหรือ ทำงานประสาอะไรน่ะ ทำไมปล่อยให้นางหนีไปได้ทุกครั้ง หา....บ้าชะมัด” ฮาจอง กล่าว

“หึ....”

“นางก็คือ....แม่นมใช่ไหม คนที่ตายคือโซวาใช่หรือเปล่า” มีซิล ถาม

“ใช่ครับท่านเซจู”

“ชิซู....โซวา....” มีซิล คิด

มีซิลไปที่สุสานเก็บป้ายผู้เสียชีวิตก็ได้พบกับชิซู

“ชิซู....มาทำอะไรที่นี่”

“ท่านยีวา ท่านโมรัง ท่านเกยซาน ท่านซาตาฮัม เช่นเดียวกับคนพวกนี้ ซักวันหนึ่ง ชื่อของข้าก็จะอยู่นี่เหมือนกัน”

“ท่านอยากถูกจารึกชื่อที่นี่หรือ”

“อย่างน้อย คนเราก็ต้องมีเป้าหมาย ถึงจะมีกำลังใจอยู่ต่อ....ตอนอายุ 16 ปี ข้าเป็นทาสในแคว้นโกคูรยอ ถูกฝังทั้งเป็นอยู่ใต้ดิน โชคดีมีหน่วยกล้าตายของท่านฝ่าวงล้อมเข้ามา เลยช่วยชีวิตข้าไว้ให้พ้นจากความตาย อย่างหวุดหวิด....นับแต่นั้นมา ข้าก็ตั้งใจจะมอบชีวิตให้ท่านคนเดียว”

“แล้วไงอีก” มีซิล ถาม

“หลังจากนั้น ข้าเคยออกรบหลายต่อหลายครั้ง ต่อสู้กับมุนโนจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ยิ่งตอนอยู่ทะเลทราย ยังได้เจอกับพายุทรายอีก”

“ไม่บอกก็รู้ว่าเจ้าผ่านความเป็นความตายมาหลายครั้ง”

“และทุกครั้ง ก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่รอดมาได้”

“แล้วยังไง”

“จริง ๆ แล้ว เพราะข้าพลาดโอกาสที่จะตายมากกว่า....แต่คิดว่าคราวหน้า ตัวเองน่าจะไม่พลาดอีก”

“ก็ได้ แล้วแต่ท่านเถอะ เพราะอะไร ถึงคิดจะไปง่าย ๆ”

“เพราะไม่รู้จะมอบชีวิตใครให้ท่านอีก” ชิซู กล่าวแล้วไปจากมีซิล

“ดีแล้ว ทำดีมาก” มีซิล กล่าวไม่รั้ง ชิซูไว้

นอกจากชิซูที่เสียใจกับการจากไปของโซวาแล้ว จุปังที่แอบหลงรักโซวา ก็เสียใจเช่นกัน

“ทำไมเจ้าถึงอาภัพนักนะ ฮือ ๆ ๆ ไม่น่าเลย ฮือ ๆๆ ฮือ....นางไม่ควรจะเป็นแบบนี้ใช่ไหม ฮือ ๆๆ ทำไมสวรรค์ถึงได้โหดร้ายนัก ฮือ ๆๆ เกิดมาเพื่ออะไร เพื่อทำหน้าที่แค่นี้เองหรือ ฮือ ๆๆ ชั่วชีวิต ฮือ....มีแต่ทำเพื่อคนอื่นทั้งนั้น ฮือ ๆๆ ไม่น่าเลย สุดท้ายก็จากไปง่าย ๆ ฮือ ๆๆ นึกแล้วต้อง เป็นแบบนี้ สังหรณ์มาแต่แรกแล้ว ฮือ ๆ ถ้าตอนนี้เป็นหม่อมฉันคงหนีไปนานแล้วฮือ ๆๆ ไม่อยู่ ให้โง่หรอก ฮือ ๆๆ จริงอยู่ ถ้าดูผิวเผิน นางเป็นผู้หญิงอ่อนแอแถมยังใจเสาะอีกต่างหาก ฮือ ๆๆ แต่เมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องทำให้ได้ ฮือ ๆๆ”

“นาง....เป็นคนอ่อนแอ หึ....ใจเสาะหรือ หึ....แม่ข้าไม่ใช่คนอย่างงั้น นางเป็นคนที่...เข้มแข็งกว่าข้าซะอีก ไม่ว่าตอนอยู่ทะเลทราย...หรือมาอยู่ชิลลา นางทำให้ข้า...ฮือ...จำเป็นต้องเข้มแข็ง...เหมือนที่นางเป็นแบบ อย่าง” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส

“ไม่น่าเลย ฮือ ๆๆ โซวา....ฮือ ๆๆ” จุปัง ร้องไห้

องค์หญิงต๊อกมานกลับเข้ามาก็พบพวกลูกน้องนั่งหารือกันอยู่

“ไม่มีอะไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ เรากำลังหารือจะให้องค์หญิงไปอยู่ที่ ๆ ปลอดภัยกว่านี้เพื่อความสบายใจจะดีหรือเปล่า” ยอจง ทูล

“แม้ว่าที่นี่จะเป็นค่ายของเรา มีการคุ้มกันแน่นหนาและสัญญาณเตือนภัย ตอนก่อสร้างก็เพื่อเป็นฐานที่มั่นเผื่อสู้กับทางการ และเหมาะที่จะซ่อนตัวก็จริง แต่ว่า เสียแต่อยู่ใกล้เมืองหลวงมากไปหน่อย” แวยา ทูล

“ต่อไป ข้าจะไม่หลบซ่อนอีกแล้ว”

“องค์หญิง หม่อมฉันไม่เข้าใจที่รับสั่ง”

“ข้าจะบอกทุกคนว่าข้ายังอยู่ และรวมกำลังทุกฝ่าย ไม่เลือกที่จะหลบหนี แต่ขอเดินหน้าต่อไป....เพราะฉะนั้น....”

“แต่ว่า ข้าไม่เห็นด้วย....เดิมที มีซิล กะว่าจะใช้เวลาสามวัน ทำให้เข้าสู่ภาวะปกติ แต่ตอนนี้ เวลากลับเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อฝ่ายเรา....การใช้กฎความมั่นคงยิ่งนานก็ยิ่งไม่เป็นผลดี จะทำให้เหล่าขุนนางและราษฎรสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมือง” ชุนชู กล่าวทูล

“แล้วยังไง”

“เพราะฉะนั้น ช่วงนี้องค์หญิงควรจะเก็บตัวเงียบซักพัก ให้สถานการณ์ค่อย ๆ คลี่คลายจนเป็นประโยชน์ต่อเรามากกว่านี้ ทรงรออีกนิดเถอะองค์หญิง” ชุนชู กล่าวทูล

“คนอื่นคิดเหมือนกันด้วยหรือเปล่า... คำพูดชุนชูมีเหตุผลก็จริง แต่ว่า....ระหว่างที่รอเวลา หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุร้ายมากกว่านี้ ข้า....อาจไม่มีความอดทนที่จะรอคอย....เพราะภายใต้กฎความมั่นคง จะทำให้ชาวบ้านถูกกดขี่ บางคนคิดจะมาอยู่กับเรา แต่อยู่ในเมืองหลวงไม่กล้ามีปากเสียง บางคนคิดจะปกป้องข้า แต่อาจถูกปองร้าย พร้อมจะตายได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะทุกคนที่อยู่นี่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นอีก ข้าคงไม่สามารถ... จะอดทนได้อีกแล้ว....นับแต่นี้ต๊อกมาน จะไม่มีการหลบหนี และจะไม่กบดานอีก”

“ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ” คิมยูซิน กล่าวทูล

“สิ่งที่มีซิลทำไม่ได้ แต่เราทำได้ นี่ก็คือ....ข้อได้เปรียบที่เรามีเหนือกว่า”

“องค์หญิง....”

“มีซิล....บารมีเหนือกว่าข้าก็จริง แต่ว่า นางไม่สามารถมีตัวตายตัวแทน ตรงกันข้าม ข้าต่างหากที่สามารถแบ่งภาคได้ อย่าลืมว่า เรายังมีชุนชูอีกคน ข้ากับชุนชู”

“แต่องค์หญิงยังมีงานใหญ่ต้องทำอีก ตอนนี้ไม่ควรจะไปเสี่ยง”

“ข้าบอกแล้วว่า นับวันจะยิ่งหมดความอดทน”

“ถ้าจะครองราชย์จริง ก็ไม่ควรจะทำอย่างงั้น”

“แต่ข้าจะทำ”

“หึ....ไม่ได้นะองค์หญิง”

“เพื่อปกป้องข้าแล้ว จะให้คนอีกเท่าไหร่ เอาชีวิตมาทิ้งเพราะข้าอีก”

“องค์หญิง” คิมยูซิน กล่าว

“เป็นความโชคดีของเรา ที่ยังมีชุนชู”

“หึ....แต่ว่า ทำอย่างงั้นมันจะเสี่ยงเกินไป”

“ข้าได้เรียนรู้อย่างหนึ่งว่า โลกนี้ไม่มีอะไรที่เสี่ยง....ยิ่งกว่าการมีชีวิต....อยู่ต่อไปไม่ว่าจะเป็นท่านหรือข้า หรือแม้แต่ทุกคน ก็ล้วนแต่ไม่แตกต่าง”

ฮาจอง เข้ามารายงานเซจองว่า เจ้าเมืองถังจะส่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรี

“เจ้าบอกว่าเมืองถัง จะส่งทูตมาหรือ”

“ใช่ครับ ถึงเมือง “ทันฮันซอง” แล้วด้วย น่าปวดหัวจริง ๆ ทำไมต้องมาเวลานี้ก็ไม่รู้” ฮาจอง กล่าว

“หลังจากสถาปนาราชวงศ์ใหม่จากสุย เป็นถัง จนวันนี้ยังไม่ครบสิบปี แต่นี่เป็นครั้งแรก ที่ส่งทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีกับเรา เฮ่ย... จุ๊ ๆๆ” มีเซ็ง กล่าว

“ฐานะของเซจูคงจะอิหลักอิเหลื่อไม่น้อย แถมมาช่วงนี้ซะด้วย ว่าแต่ได้ไปคุยกับนาง เกี่ยวกับการต้อนรับคณะทูตแล้วหรือยัง” เซจอง กล่าว

“ความจริงก็รู้มาหลายวันแล้ว แต่เพราะยุ่งกับเรื่ององค์หญิงต๊อกมานอยู่ เลยไม่อยากบอกให้นางรู้” มีเซ็ง กล่าว

“ฮึ่ม....”

“เฮ่ย....ที่แย่ก็คือพรุ่งนี้จะมาถึงเมืองหลวง ทีนี้มีหวังยุ่งกันใหญ่แน่”

“คงต้องบอกให้พวกเขารับรู้ ว่าเรา มีปัญหาการเมืองภายในกำลังใช้กฎความมั่นคงอยู่ และขอให้พวกเขาเห็นใจหน่อย” เซจอง กล่าว

“ใช่ ต้องการอะไรก็ให้เค้าไปละกัน ช่วงนี้ทำอะไรให้อะลุ้มอล่วยไปก่อนจะดีที่สุด อย่าให้เกิดความขัดแย้ง” มีเซ็ง กล่าว

ด้านองค์หญิงต๊อกมานก็ได้ข่าวเรื่องทูตเมืองถังเช่นกัน

“จากข่าวที่ยอจงได้มา พรุ่งนี้คณะทูตจากเมืองถังจะเดินทางมายังแคว้นชิลลาของเรา ถึงตอนนั้น เชื่อว่ามีซิลต้องไปต้อนรับ และแสดงให้เห็นว่าสามารถปกครองบ้านเมืองได้อย่างสงบและสันติ ถึงตอนนั้น ไม่แน่อาจจะยกเลิกกฎความมั่นคงชั่วคราว พรุ่งนี้เป็นวันดี อยากให้ท่านไปเตรียมตัวด้วย”

“องค์หญิง” คิมยูซิน กล่าวทูล

“ว่าไง”

“ไม่มีอะไร หม่อมฉันจะไปสั่งการเดี๋ยวนี้”

“ท่านยูซิน”

“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”

“ถึงเวลา ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันจริง ข้าขอฝากชุนชูไว้ด้วยนะ”

“ขอทรงอภัย หม่อมฉันจะถือว่าไม่ได้ยินประโยคนี้ ต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้น หม่อมฉันเชื่ออย่างงั้น”

ชิซูมาหารือกับซอวอนและมีซิล

“ได้ยินว่า ปาร์คอึยได้รับจดหมายจากองค์หญิง แสดงว่าองครักษ์อื่นก็น่าจะได้เหมือนกัน รายละเอียดคงไม่ต่างกันมากนัก” ชิซูกล่าว

“คิดว่านางกำลังใช้แผนเกลี้ยกล่อมเหล่าขุนนางไปเป็นพวก ถ้ายิ่งถ่วงเวลาไว้นาน อาจมีบางส่วนแปรพักตร์ก็เป็นได้” ซอวอนกล่าว

“แม้จะส่งคนไปหาข่าวและสืบหาร่องรอยขององค์หญิง แต่จนวันนี้ยังไม่มีเบาะแส กลับมา ท่านเซจูท่านคิดจะทำไงต่อดีครับ”

“ไม่ว่ายังไง ก็อย่าให้นางรอดชีวิตและกลับมาเมืองหลวงอีกครั้ง....ในฐานะผู้นำกบฏ ต่อต้านทางการและพลีชีพไปอย่างองอาจ นี่คือ

เรื่องราวของนาง ที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้แบบนี้” มีซิล กล่าว

วันที่คณะทูตเดินทางมาถึงเมืองหลวงชาวบ้านแห่ออกไปต้อนรับจำนวนมาก ระหว่างนั้นได้มีว่าวจำนวนมากลอยอยู่บนท้องฟ้าไม่นานก็

ได้ระเบิดออกมามีใบปลิวจำนวนมากหล่นลงมา พวกชาวบ้านและมีซิลจึงหยิบมาอ่าน

“เฮ้ย....เขียนอะไรน่ะ ข้าอ่านหนังสือไม่ออก” ชายชาวบ้านคนหนึ่งกล่าว

“เฮ้ย....กระดาษอะไรน่ะ หา....ใครเขียนอะไร ท่านน้าอ่านซิ” ฮาจอง กล่าว

“ช่วยฝ่าบาท....ตอนนี้ฝ่าบาท....ถูกกักบริเวณ” มีเซ็ง อ่าน

“ว้าย....เอ่อ....”

“เฮ้ย....ตายล่ะ....” มีเซ็ง กล่าว

“ไปแย่งมาเร็วเข้า....เร็วสิครับ” ฮาจองสั่ง

ยิมจงหยิบใบปลิวมาอ่านข้อความ

“พี่น้องชาวชิลลาทั้งหลาย หากยังถือความถูกต้อง ก็ให้ช่วยฝ่าบาทที่ถูกกักบริเวณ....” ยิมจง กล่าว

“ดาวแคยาง, ต๊อกมาน ทายาทดาวแคยาง....ชุนชู”

“ช่วยฝ่าบาทหรือ ฝ่าบาทถูกกักบริเวณ หมายความว่าไงน่ะ” องครักษ์คนหนึ่งกล่าว

“ความหมายก็คือ ฝ่าบาทถูกขังอยู่ในวังหรือเปล่า”

“และองค์หญิงก็หนีไปได้ จนป่านนี้ยังไม่มีข่าวคราว” โฮแจ กล่าว

“ท่านโฮแจ แล้วต่อไปนี้พวกเราควรจะทำไงต่อดีครับ”

“แม้จะบอกว่าองค์หญิงคิดก่อกบฏ แต่ก็มีบางประเด็นที่น่าแปลกใจอยู่มาก” โฮแจกล่าว

“น่าแปลกยังไงไม่ทราบ องค์หญิงก่อกบฏก็เห็นอยู่ แต่เพราะท่านมีซิลรู้ทันเลยขัดขวางไว้ก่อน” ซกพุง เข้ามากล่าว

“แต่ตอนนี้ข้างนอกมีข่าวลือ ทำให้หลายคนเริ่มไม่เชื่อกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”

“ที่สำคัญ องค์หญิงเคยส่งจดหมายมา บอกว่าจะช่วยฝ่าบาท และนี่คือ....สิ่งที่นางสั่งให้เราทำไม่ใช่หรือ” ยิมจง กล่าว

“เจ้าหุบปาก นี่เป็นเวลาไหน พูดจาแบบนี้อยากตายหรือไง” ซกพุง กล่าว

“แต่องค์หญิง....เป็นนายขององครักษ์นะ” ยิมจง กล่าว

“เป็นนายของเราก็จะก่อกบฏได้หรือไง” ซกพุง กล่าว

“ทุกวันนี้ ยังสรุปไม่ได้ว่าคือกบฏจริงหรือเปล่า” องครักษ์อีกคน กล่าว

“พวกเจ้านี่แปลก ทำอะไรไม่มีหัวคิดบ้าง ลืมบุญคุณที่ท่านมีซิลมีต่อเราแล้วหรือ ใครบ้างที่ไม่ได้รับการเกื้อหนุนจากนาง” ซกพุงกล่าว
“เรายอมรับว่าที่ได้ดีก็เพราะนาง แต่ที่แล้วมา เราภักดีต่อท่านเซจู เพราะนางทำอะไรเปิดเผย ไม่เคยผิดต่อความชอบธรรมของบ้านเมือง”

“ข้อนี้ข้าเห็นด้วย พวกเราที่เป็นองครักษ์ ไม่เคยมีใครที่ทำงานให้ท่านเซจู เพราะหวังประโยชน์ส่วนตัว แต่เป็นความเลื่อมใสในตัวนาง เกี่ยวกับจุดนี้ เชื่อว่านางคงเข้าใจดีเหมือนกัน” องครักษ์กล่าว แต่ซกพุง ไม่พอใจ

มีซิลถามมีเซ็งถึงเรื่องข่าวใบปลิวแพร่กระจายไปถึงไหน

“วันที่คณะทูตมาถึง จู่ ๆ ก็โปรยมาจากบนฟ้ามากมาย แม้ว่าทหารจะเร่งเก็บ แต่ส่วนใหญ่ชาวบ้านก็เห็นหมดและพูดไปโน่นแล้ว เฮ่อ...”

“ทูตเมืองถัง....ก็ได้อ่านด้วยหรือ” มี ซิลถาม

“ไม่เพียงแต่ได้อ่าน แม้แต่เสียงซุบซิบของชาวบ้านยังได้ยินเต็มหู....เฮ่อ....ถึงเราจะบอกว่าจำเป็นต้องใช้กฎความมั่นคงเพราะการก่อกบฏขององค์หญิง แต่ดันมีข้อความแบบนี้โผล่มา เฮอะ....ทำให้ข้าตั้งรับไม่ถูกจริง ๆ” มีเซ็งกล่าว

“แล้วตอนนี้ คณะทูตไปอยู่ที่ไหน”

“ให้ไปอยู่ตำหนัก “โชวอน” ท่านจะไปพบหน่อยมั้ยล่ะ”

“ก็ดี ไปสิ ต้องไปอยู่แล้ว”

“ได้ เดี๋ยวก่อนพี่ใหญ่....ตอนนี้สถานการณ์บ้านเมืองยังน่าเป็นห่วงอยู่นะ”

“แล้วยังไง”

“ข้าว่าท่านคงต้องเตรียมคำตอบให้ดี....เขาจะขออะไร เราก็แกล้งเออออห่อหมกไปก่อน ดีมั้ยพี่ใหญ่” มีเซ็ง กล่าว

มีเซ็งพามีซิลมาพบคณะทูตเมืองถัง

“ท่านนี้คือท่านเซจูของเรา ปัจจุบัน เป็นผู้สำเร็จราชการแทนฝ่าบาทในขณะที่ประชวรอยู่”

“ชื่อของท่านมีซิล ได้ยินไปถึงภาคกลางของเรานานแล้ว วันนี้ได้มาเห็นตัวจริง ช่างถือเป็นเกียรติของเรายิ่งนัก” ทูต กล่าว

“ชื่อของคนต่ำต้อยอย่างข้า ไหนเลยจะกล้าไปถึงภาคกลาง ท่านกล่าวเกินไปแล้ว”

“ท่านต่างหากที่ถ่อมตัวเกินไป”

“พวกท่านเดินทางมาไกล คิดว่าคงจะเหนื่อยไม่น้อย เชิญไปพักก่อนแล้วค่อยคุย อีกที”

วันต่อมาคณะทูตได้เจรจากับมีซิลบอกว่าต้องการทองคำหนึ่งพันชั่ง

“ฮ่องเต้ของเรามีพระบัญชา ให้นำสิ่งของอันแสดงถึงมิตรภาพอันดีระหว่างชิลลาและต้าถัง กลับไปให้ทอดพระเนตรด้วย”

“ถ้าเรายอมมอบทองคำหนึ่งพันชั่งตามที่ขอจริง แล้วไม่ทราบว่าพวกท่านจะให้อะไรแก่เราเป็นการตอบแทนบ้าง” มีซิลต่อรอง

“ต้าถังของเรา....ขอตอบแทนด้วยไมตรีจิต”

“พี่ใหญ่ ให้พวกเขาไปเถอะ ตอนนี้ อย่าเพิ่งบาดหมางกับต้าถังจะดีกว่านะ....แหะ ๆ คือ....ทองคำหนึ่งพันชั่งนี่ ปริมาณมากกว่าผลผลิตจากเหมืองแร่สองแห่งของเราในหนึ่งปีด้วยซ้ำนะท่านทูต”

“นั่นสิ เพราะฉะนั้นข้าจึงคิดว่า คงจะให้ไม่ได้”

“พี่ใหญ่”

“ระหว่างทางที่มาเมืองหลวง เราได้เห็น... บางอย่างที่น่าสนใจไม่น้อย” ทูตกล่าว

“หา...เอ่อ...ใช่, จริงอยู่ แหะ ๆ คือ...ตอน นี้บ้านเมืองเรามีปัญหานิดหน่อยก็จริงแต่ว่า นี่เป็น...เรื่องภายในของเราหรือเปล่าครับท่าน” มีเซ็ง กล่าว

“ใช่ แต่ว่าเรื่องภายในของพวกท่าน แล้วไม่ต้องอาศัย การเกื้อหนุนจากเราหรือไง หือ...ขอบอกตามตรง ทุกวันนี้ เรากำลังเพ่งเล็ง การเมืองอันยุ่งเหยิงของพวกท่านอยู่”

“พี่ใหญ่ อย่าดึงดันอีกเลย ตอบตกลงไปดีกว่า”

“ข้าขอพูดตรง ๆ ซักนิด เท่าที่รู้มา ท่านทูตต่างจากคนอื่นก็คือ มีความสนใจต่อเรื่องภายในของเราเป็นพิเศษจริงมั้ยคะ...แน่นอนว่า ในฐานะตัวแทนของประเทศ ถ้าแอบเจรจาเป็นการส่วนตัวจะถือว่าผิดธรรมเนียมทางการทูต แต่ยังไงซะ ข้าก็อยากคุยกับท่านทูตตามลำพังซักครั้ง ไม่ทราบท่านจะว่าไง”

“พี่ใหญ่ ท่านจะทำอะไร”

“ดูเหมือนว่าท่านเซจู จะมีเรื่องบาง อย่างที่ไม่ต้องการเปิดเผย” ทูต กล่าว

“เฮ่ย...แววตาของพี่ใหญ่...เหมือนมีอะไรบางอย่าง...แววตานั้น...” มีเซ็ง กล่าว

“เหมือนที่กระดาษนั่นเขียนไว้ ท่านกักตัวพระราชา ใส่ร้ายว่าองค์หญิงเป็นกบฏ เป็นความจริงหรือเปล่า” ทูต ถาม

“ถ้าข้าบอกว่าจริงล่ะ”

“หึ...ทำแบบนี้ มิเท่ากับชิงบัลลังก์หรอกหรือ”

“ถ้าอย่างงั้น ฮ่องเต้ต้าถังของท่านล่ะ ได้บัลลังก์จากการช่วงชิงหรือเปล่า หรือว่าไม่ใช่?”

“บังอาจนัก ท่านพูดอะไรกัน”

“ถ้ามองในแง่สกุลหยาง ฮ่องเต้องค์ใหม่นี้ คือชิงบัลลังก์จากพวกเขาชัด ๆ”

“แล้วยังไง จะทำไม ท่านจะบอกว่าฮ่องเต้เราทำไม่ถูกงั้นหรือ”

“ใครจะเป็นปฐมฮ่องเต้ไม่สำคัญ สำคัญคือหลังจากนั้นแล้วพระองค์ทรงปกครองบ้านเมืองด้วยวิธีไหนต่างหาก ข้าก็เหมือนกัน อนาคตจะเป็นไงต่อ ไม่มีใครรู้” มีซิล กล่าว

“ท่านเป็นแค่หญิงธรรมดาที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อย บังอาจมาเปรียบกับ...ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ของภาคกลางเรา คนอย่างท่าน รู้จักหลักการปกครองด้วยหรือ”

“ท่านเป็นเพียงขุนนางฝ่ายการทูต ก็ไม่มีสิทธิมาพูดเรื่องปกครองกับข้าเหมือนกัน ถ้าจะคุยเรื่องพวกนี้กับข้าละก็ ไปเชิญ “หลี่ซื่อหมิน” มาพบข้าด้วยตัวเองดีกว่า” มีซิล กล่าว

“ท่านช่างกล้า...บังอาจนัก ฮึ่ม...จะให้เรายกทัพมาตีเคนิม ปราบแคว้นเล็ก ๆ อย่าง ชิลลาให้ราบถึงจะรู้สำนึกใช่ไหม”

“ท่านมาในฐานะทูต ตัวแทนแห่งต้าถัง แต่กลับบอกว่าจะใช้กำลัง แบบนี้มันหมายความว่ายังไง ข้า...สามารถตีความว่านี่คือการท้าทายต้องการเปิดศึกกับเราก็ได้ หากเรารับคำท้า จะมีผลยังไงต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองเมืองบ้าง... ข้ายังมีสิทธิตัดหัวท่าน ให้คนนำกลับไป บอกว่ามาเป็นบ่อนทำลายได้หรือเปล่า” มีซิล กล่าวข่มขู่ ทำให้ทูตพอใจ

“เฮอะ...เฮ่อ ๆ ฮ่า ๆ ข้าจะกลับไปทูลให้ฮ่องเต้ทรงทราบ ว่าตอนนี้ในแคว้นชิลลา ได้ปรากฏหญิงเก่งคนหนึ่ง ไม่เพียงจิตใจห้าวหาญยิ่งกว่าผู้ชาย ยังเปี่ยมด้วยความเฉลียวฉลาดที่พร้อมจะเป็นมิตรที่ดีกับต้าถังของเรา... ถ้าข้ามีสิ่งใดล่วงเกินไป ก็ขออภัยด้วย”

“ข้าก็ต้องขออภัยเหมือนกัน” มีซิล กล่าว

“เมื่อกี้ข้าแอบฟังอยู่ พี่ใหญ่ บอกตามตรง ท่านช่างมีความกล้าที่น่าเลื่อมใส เฮอะ... เฮ่อ ๆๆ เฮ่อ ๆ” มีเซ็ง กล่าว





..................จบตอนที่ 47....................



วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 46



Queen Seon Deok ( 善德女王/ 선덕여왕)
เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 46
Cr. : Dailynews Online


หลังจากที่คิมยูซินถูกจับตัวไว้ได้ เขาก็ประกาศให้องครักษ์ทุกคนทราบว่า ตอนนี้องค์หญิง ต๊อกมานถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏจนต้องออกจากวังไป เหตุการณ์ที่เกิดในห้องประชุมขุนนางเป็นหลุมพรางทั้งสิ้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับองค์หญิงเลย แต่คิมซอวอนว่าคนทำความผิดก็ต้องหาข้อแก้ตัวทั้งนั้น

จุปังมาหาทางลับที่ตำหนักเทพ เขาเดินหาอยู่นาน จนหลงไปยังห้องลับของมีซิล ที่นั่นเขาได้เจอกับโซวา จุปังทั้งงงและแปลกใจ

“คุณพระช่วย สวรรค์โปรด อะไรกันนี่ ในวังยังมีห้องแบบนี้ด้วยหรือ หือ...แล้วตอนนี้ ฝ่าบาทอยู่ไหน ท่านรู้มั้ย”

“หึ...”

“แต่ว่า ช่างเถอะ เราต้องออกจากที่นี่ก่อน”

“ท่านมีทางออกไปได้หรือ”

“ใช่ ข้างหลังนี่มีทางออก องค์หญิงเคย บอกว่า มันจะเชื่อมต่อระหว่างตำหนักเทพกับห้องเซ่นไหว้ขององครักษ์ และข้าก็เพิ่งรู้ว่า มันยัง ต่อกับตำหนักของมีซิลด้วย” จุปัง กล่าว

“ถ้าอย่างงั้น...”

“ใช่ ข้าว่าทางนั้น น่าจะทะลุไปถึงห้องเซ่นไหว้ขององครักษ์ ถ้าเราเดินตรงไปอาจมีทาง ออกก็ได้ ไปเร็วเข้า มา...”

“ได้ เดี๋ยวก่อน รอข้าซักครู่” โซวาขอตัว ทำธุระบางอย่างก่อนที่จะหาทางออก


มีซิลโกรธมากที่รู้ว่าซอวอนไม่สามารถจับตัวองค์หญิงต๊อกมานไว้ได้ ซอวอนจึงรายงานว่าพีดัมพาคนมาช่วยไว้ ทำให้มีเซ็งโวยวายขึ้นมา เพราะคิดว่ามีซิลกำจัดพีดัมไปแล้ว

“พี่ใหญ่ ท่านไปพบเจ้ายอจงด้วยตัวเองไม่ใช่หรือ แล้วทำไมพีดัมยังโผล่มาได้อีกบอกหน่อยซิ”

“เท่าที่ดู พีดัมคงไม่ได้ตามเขาไปท่องเที่ยว” ซอวอน กล่าว

“เที่ยว...เที่ยวหรือ พาเขาไปเที่ยวเนี่ยนะ เฮ่อ ๆ ๆ พวกท่านพูดอะไรกันแน่ ช่วยบอกให้เข้าใจหน่อยได้ไหม”

“ยอจงทรยศเราซะแล้ว”

“หา...อะไรนะ พี่ใหญ่ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยซิ เจ้าพีดัมนี่ ตามหลักมันน่าจะตายแล้วไม่ใช่หรือ พี่ใหญ่”

“โอย...นี่มันอะไรกัน เฮ่ย...โอย...อยากจะบ้า พวกท่านรู้ข่าวร้ายบ้างหรือยัง องค์หญิงหนีไปได้ หึ...” ฮาจอง โวยวาย

“เป็นความผิดพลาดของข้าเอง แต่ว่า ที่หนีไปคือองค์หญิงคนเดียวเท่านั้น ตรงข้ามกับทุกคนในวัง ที่ต้องเชื่อฟังข้า อำนาจมาอยู่กับข้าแล้วยังจะกลัวอะไรอีก...ต่อไป เราจะดำเนินการใน แผนขั้นที่สอง”

“หา...หมายความว่า พรุ่งนี้จะเรียกประชุม ขุนนางตามที่ประกาศหรือครับ”

“ใช่ ให้ฮาจองกับมีเซ็ง ไปกำชับขุนนางทุกฝ่ายอีกที ห้ามใครงดเข้าประชุมเด็ดขาด”

“ได้ ข้าจะจัดการให้” มีเซ็ง รับคำทันที

ต๊อกมานที่หนีรอดมาได้ ยังคิดว่าโชคเข้าข้างนางอยู่ เพราะแม้ว่าจะครองอำนาจมาหลายสิบ ปี แต่ก็น่าสมเพชมีซิลที่ต้องใช้กำลังห้ำหั่น ถึงจะ ได้ครองบัลลังก์สมใจ นอกจากใช้วิธีก่อกบฏแล้ว มีซิลจะไม่มีทางขึ้นเป็นใหญ่ได้...แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม นางคือสายพระโลหิตของฝ่าบาท เพราะฉะนั้น นางจึงมีความชอบธรรมมากกว่า ไม่ว่านางจะอยู่ไหน อำนาจก็เป็นของนางเสมอ ด้านมีซิลก็คิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ดังนั้น มีซิลจึงคิดที่จะจับตัวต๊อกมานมาให้ได้ และประหารเสีย จึงสั่งให้ท่านซอวอนและชิซู จับต๊อกมานมาให้ได้ ก่อนที่นางจะ รวมกำลังขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อสร้างขั้วอำนาจใหม่

“ถ้าอย่างงั้น องค์หญิงน่าจะหาที่หลบซ่อน ตัวซักพัก”

“ใช่ เพื่อการวางแผนในวันหน้า องค์หญิง ควรไปให้ไกล อยู่ในที่ ๆ ปลอดภัยและไม่มีใครรบกวน” ชุนชู กล่าว

“เจ้ามีความเห็นยังไงบ้าง...ใช่ ไม่ควรไป ท่านยูซินพูดมาก็ถูก ที่ข้าหนีมาได้ก็หมายถึงชัยชนะของฝ่ายเรา นับว่าไม่ผิดจริง ๆ”

“ใช่ ป่านนี้คนที่ร้อนใจ คือมีซิลมากกว่า” พีดัม กล่าว

“นางคิดว่า จะก่อกบฏแล้วโยนความผิดให้ข้า บิดเบือนข้อเท็จจริงให้ข้าเป็นนักโทษ ส่วน นางก็คุมวังหลวงไว้”

“จากนั้นก็ใช้วิธีรวบรัด ประหารองค์หญิงซะ เป็นการขจัดเสี้ยนหนามให้หมดไปอย่าง รวดเร็ว”

“แต่แล้ว สุดท้ายจับข้าไม่ได้ยังพอว่า แผนของนางทำท่าจะรวนซะหมด นับแต่นี้ไป เราจะเป็นฝ่ายได้เปรียบบ้าง”

“ข้อนี้ใคร ๆ ก็มองออก...แต่ก็เพราะเหตุนี้ พวกเขาต้องพยายามหาทางจับองค์หญิง ให้ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตามเพราะฉะนั้น หม่อม ฉันถึงบอกว่า เราต้องเลี่ยงการเผชิญหน้ากับพวก เขา...เฮ่อ...”

“ไม่มีที่ไหน...จะหลบได้...ต้องบอกว่า ข้าไม่อยากหนี แต่อยากชี้ชะตากับนางมากกว่า ที่นี่แหละ ในเมืองหลวงแห่งนี้ ช่วยข้าได้ไหม” ต๊อกมาน กล่าว

มีซิลสั่งให้ท่านซอวอน พยายามสอบเค้นจากท่านยองชุนและคิมซอยอน ยืนยันว่าพวกเขาคิดปองร้ายขุนนางผู้ใหญ่จริง ถ้าไม่มีปัญหา ลงโทษสถานหนักได้ อีกทั้งให้เค้นถามที่ซ่อนตัวของต๊อกมานจากคิมยูซินและไอชอง เพราะเขาทั้งสองเป็นคนสนิท น่าจะรู้ที่ซ่อนตัวแน่ พร้อมกับสั่งให้ชิซู ไปสอบปากคำคนที่พีดัมพามาช่วยต๊อกมานในวัง ถามให้รู้ว่านางอยู่ไหนแน่

“อีกไม่นานข้าจะออกประกาศ ในนามของพระราชา ให้จับองค์หญิงต๊อกมานในฐานะนักโทษอาญา แต่ว่า ต๊อกมาน...อาจจะต้องตายก่อน...เพราะขัดขืนการจับกุม ตายเพราะทำผิด กฎหมาย ไม่ยอมให้ทางการจับตัว นี่ก็คือ...จุดจบที่นางสมควรจะได้รับ” มีซิล กล่าว

คิมยูซิน ไอชอง และเหล่าองครักษ์ที่ถูกจับตัวไปถูกทรมานอย่างหนักเพื่อให้ยอมรับว่าองค์หญิงต๊อกมานเป็นคนออกคำสั่งให้ก่อการกบฏ แต่เมื่อไม่มีใครรับพวกเขาก็ต้องถูกทรมาน อย่างไร้ความปรานี

“นึกหรือว่า แค่นี้จะทำให้เรากลัวได้”

“ท่านซอวอน ท่านก็เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งหน่วยองครักษ์ ทำไมใช้วิธีสกปรกแบบนี้มาเล่นงานเราได้ หึ....”

“หึ ๆ ๆ ใช่ ข้ายอมรับว่าแผนนี้ต่ำช้าไปหน่อย แต่ว่าสิ่งที่เราทำก็เพื่อหนุนให้คน ๆ หนึ่งได้ครองราชย์ มันคืออำนาจ คนที่จะร่วมวง จำเป็นต้องคำนึงถึงความถูกต้องและเป็นธรรมอีกหรือ”

“หึ...ท่านอาจไม่คิด แต่ข้าคิด เพื่อราษฎร ของเรา เพื่อแคว้นชิลลา ต้องมีความชอบธรรม”

“หึ ๆ ๆ ชอบธรรมหรือ หึ....”

“อึ๊ด....โอ๊ย...” ไอชอง ถูกทรมานร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

“หึ...จะบ้าหรือไง ทำไมทำกันแบบนี้”

“บอกที่ซ่อนตัวขององค์หญิงมาเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ยอมพูดความจริง ไอชองจะค่อย ๆ ตาย อย่างทรมานที่สุด...อึม...”

“พอได้แล้ว หยุดเดี๋ยวนี้ ข้าบอกให้หยุด พอที มาทำกับข้าดีกว่า ฮือ...เร็วซี่ บอกให้มาทางนี้ ฮือ...” คิมยูซิน กล่าว

ฮาจองมาขอร้องให้ยองชุนสารภาพว่าองค์หญิงต๊อกมานอยู่เบื้องหลังการก่อกบฏ เพื่อให้คิมยูซินต้องพ้นโทษ แต่เขาไม่ยอม ด้านต๊อกมานยอมเผชิญหน้ากับมีซิล เพราะ คิดว่าดีกว่าการหนีเอาตัวรอด ดังนั้นนางจึง ไปพบกับจูจิน พร้อมกับสาสน์ที่นางเขียน ขึ้นมา

“ในนามแห่งทายาทของฝ่าบาท องค์หญิงต๊อกมาน ขอแจ้งให้ขุนนางทั้งหลาย รวมทั้งราษฎรได้รับรู้โดยทั่ว...คนที่ใช้ทหารเพื่อจะก่อกบฏ และคุมตัวฝ่าบาทไว้ รวมทั้งยึดครองตราหยกโดยพละการ...ก็คือมีซิล เป็นแผนชั่วของนาง”

“องค์หญิง นี่มัน....จะทรงทำอะไรน่ะ” จูจิน กล่าว

“ข้าอยากรู้ว่า มีซิลให้อะไรแก่ท่านบ้าง”

“ตอนนี้ข้างนอกมีทหารถึง 5 พันคน แค่หม่อมฉันส่งเสียงเท่านั้น องค์หญิงจะไม่ได้ออกจากที่นี่อีกเลย”

“หึ...ใช่ หลังจากตัดหัวท่านจูจินแล้ว เราก็ต้องตายเหมือนกัน มีซิล...ให้อะไรแก่ท่านเป็นข้อแลกเปลี่ยน”

“หึ...โอ๊ะ...ให้เมืองซังจู ตำแหน่งเสนาบดีและที่ดินอีกหนึ่งหมื่นซก”

“ท่านช่วยให้นางได้ครองราชย์ ตัวเองกลับได้สิ่งตอบแทนแค่นี้เองหรือ” ต๊อกมาน กล่าว

“ให้นางได้ครองราชย์?”

“ใช่ นี่คือเป้าหมายของนาง ถึงเวลา นางจะขึ้นครองราชย์อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น ท่านน่าจะต่อรองประโยชน์ให้มากกว่านี้อีก....ถ้าตอนนี้เป็นข้าละก็ จะให้ท่านมากกว่านี้โดยไม่เกี่ยงเลย และสมควรจะได้ด้วย เพราะกว่านางจะชิงอำนาจมาได้ ท่านต้องลงทุนลงแรงมากกว่าใครพาทหารมาตั้งเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น จะได้มากกว่านี้ก็สมควรแล้ว....แต่ว่า ถ้าการต่อรองไม่ได้ดั่งใจ ข้าขอเสนอว่า ให้โอกาสข้าซักครั้งได้ไหม”

“องค์หญิงต๊อกมาน ทรงเก่งเรื่องการแลกเปลี่ยนมาก” พีดัมชื่นชม ก่อนทำร้ายจูจิน จนสลบ

พีดัมไม่เข้าใจว่าทำไมต๊อกมานจะต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงขนาดนั้น

“ได้ยินว่าสมัยก่อน พระเจ้าจินฮึงเคยถูกเสือกัดเข้าที่พระหัตถ์....แต่ตอนนั้นพระองค์ก็ทรงอดทน ไม่ดึงพระหัตถ์ออกจากปากเสือ กลับยื่นพระหัตถ์ที่มีมีด เข้าไปในคอเสือมากขึ้น”

“ดึงออกมามือก็ขาด งั้นสู้เข้าไปตัดหลอดลมของเสือให้รู้แล้วรู้รอด”

“ตอนนี้ สภาพของข้าก็ไม่ต่าง ไม่แน่ใจว่าท่านจูจินจะเป็นจุดมรณะของมีซิลหรือเปล่า แต่ก่อนจะหาพบจุดนั้น ข้าต้องยื่นมือเข้าไปให้ ลึกที่สุด ตอนนี้แวยาอยู่ที่ค่ายทหาร ไปบอก ให้เขาคอยติดต่อกับเราไว้ ส่วนเจ้ากับยอจงก็ช่วยกันวางแผนช่วยท่านยูซิน กับท่านไอชองออกมาให้ปลอดภัย หลังจากนั้น ค่อยพาชุนชูหลบ หนีไป”

“ทำไมต้องพาเขาหนีไป” พีดัม สงสัย

“ระหว่างเขากับข้า สองคนนี้ จะต้องมีคนหนึ่งที่อยู่รอด”

“ได้ หม่อมฉันเข้าใจแล้ว”

มีซิลไปพบพระเจ้าจินพยองที่ถูกคุมขังอยู่ เพื่อขอให้มอบอำนาจให้กับนาง แต่พระเจ้า จินพยองไม่ร่วมมือด้วย

“มาจนถึงวันนี้...เพิ่งนึกได้ว่าตัวเองอยากครองราชย์งั้นหรือ...ถ้าเจ้าคิดได้เร็วกว่านี้หน่อย ข้าคงไม่ต้องทิ้งต๊อกมานไป...แถมยังทำให้ชอนมยองอายุสั้นด้วย หึ....เจ้าก็ไม่ต้องตัดขาดกับลูกชายตัวเอง หึ...แต่แล้ว มาจนถึงวันนี้ เพิ่งจะคิดได้...หึ...เฮ่อ...ไม่รู้สึกว่าช้าไปหน่อยหรือ” พระเจ้าจินพยอง กล่าว

“ใช่ หม่อมฉันก็ว่าช้าไปหน่อย”

“เจ้าไม่เคยหวังในสิ่งนี้ แต่จู่ ๆ ก็คิดจะมา....ทำลายความฝันของคนอื่นด้วยใช่ไหม”

“ฝ่าบาทเพคะ...ฝ่าบาท ๆ...ทรงเป็นไงบ้าง...”

“แต่ก็ช่วยไม่ได้อยู่ดี เพราะสิ่งนี้ ทำให้หม่อมฉันอยู่ไม่เป็นสุข...กับตำแหน่งราชินี” มีซิล กล่าว

มีซิลประกาศให้ขุนนางทุกคนได้รับรู้ทั่วกันว่า ผลการไต่สวนท่านยองชุน รวมทั้งคิมซอยอนและคิมยูซินได้ข้อสรุปออกมาเรียบร้อย ผู้อยู่เบื้องหลังวางแผนลอบสังหารใต้เท้าเซจองก็คือองค์หญิงต๊อกมาน...ฝ่าบาทจึงทรงเห็นว่า นางเป็นถึงองค์หญิง แต่กลับเป็นผู้นำกลุ่มคนที่มุ่งร้ายหวังทำลายรากฐานการปกครองของเรา ด้วยเหตุนี้จึงให้เร่งจับกุมองค์หญิงมาลงโทษซะ ส่วนผู้ที่สมรู้ร่วมคิดก็ให้ถอดถอนจากตำแหน่งและรับการไต่สวนไปตามความผิด และจากนี้ เราจะมีหน่วยงานใหม่ ทำหน้าที่ปกป้องราชสำนักในชื่อว่าหน่วยความมั่นคง

“หน่วยความมั่นคงอะไรกัน”

“หน่วยความมั่นคงนี้ จะนำโดยท่าน เซจอ เจ้ากรมทหาร ท่านซอวอน รวมทั้งข้าอีกคนเป็นผู้บัญชาการ ทำงานขึ้นตรงต่อฝ่าบาท มีฐานะเหนือกว่าสภาขุนนางอีกขั้นหนึ่ง ที่สำคัญหน่วยงานนี้ ยังมีหน้าที่ในการไต่สวนผู้กระทำความผิด คิดร้ายต่อบ้านเมือง และใครก็ตามที่ส่อแววเป็นภัยต่อราชสำนัก เนื่องจากฝ่าบาทมีปัญหาด้านพระอนามัย จึงให้ข้ามีซิลรับผิดชอบ ดูแลหน่วยงานนี้อย่างเต็มตัว” มีซิล กล่าว ทำให้ขุนนางบางคนฟังแล้วตกใจ เพราะตรงกับคำพูดของต๊อกมานที่บอกว่ามีซิลจะขึ้นครองราชย์

“แต่มีเรื่องหนึ่ง....มีเรื่องหนึ่ง ข้าอยาก ถามให้แน่ใจ”

“ได้ เชิญท่านว่ามาได้”

“แล้วเราก็จะเชื่อฟังท่าน”

“ได้ เชิญพูดมาก่อน”

“ฝ่าบาททรงประชวร ไม่ทราบว่าหนักหนาแค่ไหน ทั้งหมดนี้เป็นพระประสงค์จริงหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่ข้าอยากรู้”

“เอาเถอะ ท่านสงสัยอะไรก็ว่ามา”

“แม้ว่าจะมีราชโองการที่มีตราประทับ ของฝ่าบาท แต่องค์หญิงต๊อกมาน เป็นพระธิดาองค์เดียวของฝ่าบาท สายพระโลหิตโดยแท้ ...โอ๊ะ...”

“ขออภัยที่ตอนนี้ข้ารู้สึกอารมณ์ไม่ดี จึงไม่อยากคำนึงถึงมารยาท,ขอพูดกับทุกท่านตรง ๆ ....ที่แล้วมาท่านทั้งหลายเคยทำอะไรไว้บ้าง ขณะที่ขุนนางมัวแต่ห่วงผลประโยชน์ตัวเอง เอาตัวรอด ทำงานผัดผ่อนไปวัน ๆ นั้น ข้ามีซิล ได้ช่วยเหลือพระเจ้าจินฮึงพระเจ้าจินจิและรวมถึง....พระราชาองค์ปัจจุบัน ปกป้องบ้านเมืองอยู่ตลอดเวลาไม่เคยหยุดหย่อน ....รัชทายาทของฝ่าบาท สายพระโลหิตโดยแท้น่ะหรือ เคยทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราวบ้างมั้ย ไม่มีเลย มีแต่ข้าเท่านั้น เพราะข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจทำนุบำรุงบ้านเมืองและรักษาความสงบมาตลอด....ถ้าใครคิดว่าข้าไม่มีผลงาน ก็ขอให้พูดมาตรง ๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม....ถ้าไม่มีละก็ ตั้งแต่วันนี้ไป เรื่องรัชทายาท สายพระโลหิตโดยแท้ ใครก็อย่าพูดให้ข้าได้ยิน นี่คือทางเลือกที่ชาญฉลาด...ข้ามีซิล ขอประกาศในนามแห่งพระราชาชิลลา จะใช้กฎความมั่นคง นับแต่นี้ในเมืองหลวงซอนาบู ห้ามมีการชุมนุมเกินกว่า 5 คนขึ้นไป และนอกจากทหารแล้ว ใครก็ห้ามพกอาวุธติดตัว....ได้ยินหรือเปล่า” มีซิล กล่าว

เรื่องการประกาศของมีซิลสร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้านเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็มีแผ่นประกาศจากองค์หญิงต๊อกมานให้จับตัวมีซิล แต่ยังไม่ทันที่จะคลายความสงสัย พวกชาวบ้านก็ถูกคุมตัวไป ข้อหาที่ชุมนุมกันเกิน 5 คน

ซอวอนสั่งให้ซกพุงกับปาร์คอึยไปดูแล กรมทหารแทนเขา พร้อมกับให้ส่งทหารไปเฝ้ายามทุกแห่ง โดยเฉพาะบ้านขุนนางและบรรดาเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย

“องครักษ์อื่นมีอะไรเคลื่อนไหวหรือเปล่า”

“จนวันนี้ยังไม่มีครับ” ซกพุง รายงาน

“ดูไปอีกซักพัก ถ้าเห็นอะไรผิดปกติ รีบมารายงานข้า”

“ครับ”

“อยู่ดี ๆ ให้ส่งทหารไปเฝ้าตามบ้านขุนนางฝ่าบาททรงเห็นชอบจริงหรือเปล่า จนวันนี้ยังไม่มีใครได้เห็นพระพักตร์เลย”

“นี่เป็นคำสั่งท่านเซจู สิ่งที่นางทำ ไม่เคยผิดต่อความชอบธรรม” ซกพุง กล่าว

จูจินมาพบกับมีซิล นางมอบตำแหน่งเสนาบดีให้เขาตามที่เคยตกลงกันไว้ พร้อมทั้งให้มาประจำการในเมืองหลวง

“ท่านเซจูจะให้พ่อเป็นเสนาบดี”

“ถ้าอย่างงั้น ต่อไปท่านจะมาอยู่เมืองหลวงคนเดียวหรือครับ....แล้วกำลังทหารของเราล่ะ”

“เป็นที่รู้กันว่าในเมืองหลวงห้ามมีทหารพกอาวุธ ไพร่พลของเราก็ต้องให้อยู่เมืองซังจูไปก่อน” จูจิน กล่าว

“นี่ก็แปลว่า....”

“นางกำลังตัดแข้งตัดขาของเรา...หึ...”

“ถึงเวลา นางจะขึ้นครองราชย์อย่างแน่นอน” ต๊อกมาน เข้ามาทำให้จูจินตกใจ

“องค์หญิงต๊อกมาน หึ...”

ซอวอนรู้ว่าชิซูมีแผนตามหาต๊อกมาน ด้วยการปล่อยคนของยอจงออกมาจากที่คุมขัง และสะกดรอยตามคน ๆ นั้นไป

“คน ๆ นั้นใช่ไหม”

“ครับ มันเป็นลูกน้องเจ้ายอจง ตอนถูกซ้อมแกล้งทำเป็นลม เราก็ทำเป็นว่าเขาตายแล้ว เอามาโยนทิ้งพร้อมกัน”

“เราหลอกเขาได้แน่ มันไม่รู้ตัวล่ะ”

“ครับ คนอื่นก็เตี๊ยมไว้หมด ไม่มีใครมีพิรุธ มันไปทางโน้นแล้ว”

“หึ....นายท่าน โอย....”

“กิดชอน ทำไมเจ้าถึง....” ยอจง กล่าวเมื่อเห็นลูกน้องตัวเองเจ็บหนัก

“โอย....”

“อ้าว....กิดชอน ๆ”

“รีบไปดูข้างนอกก่อน มีใครสะกดรอยตามหรือเปล่า”

“ครับ”

จุปังสามารถพาโซวาหนีออกมาจากห้องลับของมีซิลได้ จากนั้นเขาจึงพานางไปสมทบกับต๊อกมานที่ยังหลบซ่อนตัวอยู่ในวังหลวง เพราะต้องการรอเวลาที่จะเข้าไปช่วยคิมยูซิน และไอชอง ด้วยการปลอมตัวเป็นหน่วยพยาบาลเข้าไป แต่มีซิลรู้แผนการนี้เข้าซะก่อน

“ปลอมตัวเข้ามาเพื่อจะช่วยยูซินกับไอชองงั้นหรือ”

“ใช่ ปลอมเป็นทหารฝ่ายพยาบาล”

“มีทั้งหมดกี่คน”

“น่าจะ 6 คนได้”

“ปล่อยตัวยูซินออกไปซะ” มีซิล สั่ง

“ครับ ข้าทราบแล้ว”

คิมยูซินและพวกแกล้งทำเป็นตาย จึงถูกนำตัวมาทิ้ง ขณะเดียวกันชิซูก็แอบตามคนของยอจงมายังที่กบดานของต๊อกมาน

“ไม่ต้องสนใจคนอื่น ที่สำคัญ...คือองค์หญิงคนเดียว”

“ถ้าอย่างงั้น....”

“ส่งคนทั้งหมด ล้อมที่นั่นเอาไว้” ชิซูสั่งคนล้อมที่ซ่อนตัวของต๊อกมาน

“ครับ....ไปล้อมไว้”

คิมยูซินและพวกใช้แผนแกล้งตาย หลบออกมาได้สำเร็จ จึงรีบไปสมทบกับต๊อกมาน

“องค์หญิง”

“ท่านยูซิน”

“นั่นใครน่ะ” ซอแจ ได้ยินเสียงดังจากด้านนอก

“เฮ้ย...ระวัง...มีคนบุกรุก...พวกไหนน่ะ...ป้องกันไว้เร็ว...ย้าก...”

“โอ๊ะ...หึ...องค์หญิง แย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เราถูก...พวกทหารล้อมไว้หมดแล้ว โอย...”

“หา....หึ....” ต๊อกมานตกใจ

ขณะที่มีซิล เมื่อรู้ว่าพวกต๊อกมานถูกคนของนางล้อมไว้ได้แล้วก็พอใจไม่น้อย และคิดว่าถึงเวลาที่จะจบเรื่องของเราได้แล้ว






................จบตอนที่ 46...............



เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 45



Queen Seon Deok ( 善德女王/ 선덕여왕)
เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 45
Cr. : Dailynews Online



“แต่ว่า เราไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน แล้วจะให้....”

“ไม่งั้นเราจะรอขุนนางที่ไม่รับผิดชอบและไม่รู้เวลา มาทำให้เสียงานใหญ่ของบ้านเมืองได้หรือ” ขุนนาง อีกคนกล่าว

“หึ....ที่สำคัญ เรามีตราประทับของพวกเขาที่รับรู้ว่าจะมีการประชุมแล้ว” ฮาจอง กล่าว

“งั้นก็ถือเป็นกรณีพิเศษ ให้ทุกคนที่มาประชุมพร้อมหน้าในวันนี้ แสดงความคิดเห็นก็พอแล้ว” เซจอง กล่าว

“นั่นสิครับ เรื่องอะไรต้องไปรอพวกเขาอีก ข้าเห็นด้วย” ฮาจอง กล่าว

“เกี่ยวกับกฎหมายการประชุมขุนนาง ไม่มีข้อไหนที่บอกว่าต้องให้ครบองค์ประชุมซะก่อน มีแต่บอกว่า ต้องลงมติเป็นเอกฉันท์ถึงจะผ่านกฎหมายได้จริงมั้ย” มีเซ็ง กล่าว

“ข้าก็เห็นด้วย”

“ใช่ ข้าก็เห็นด้วยเหมือนกัน”

“หึ....งั้นก็ตามใจ”

“ถ้าอย่างงั้น เราจะเริ่มการประชุมเกี่ยว กับหัวข้อดังต่อไปนี้....”

เมื่อคิมยูซิน รู้ว่ามีขุนนางเข้าประชุมเพียง 8 คน แต่ก็ยังมีการดึงดันเปิดประชุมอีกก็ไม่พอใจ

“ประเด็นก็คือถกเรื่องบทบาทขององค์หญิง” ไอชอง กล่าว

“ครับ แล้วจะทำไงดี” กุกซอน ถาม

“ทำแบบนี้มันถูกที่ไหน ทำไมไม่มีท่านยองชุนกับใต้เท้าคิมเข้าร่วมด้วยล่ะ”

“เอ่อ....หรือว่า....”

“ท่านยูซิน ได้ยินว่าเมื่อคืนนี้ ใต้เท้าคิมดื่มเหล้ากับท่านฮาจองจนดึกมาก ใช่หรือเปล่า”

“หรือว่า จงใจทำให้พ่อข้าเมาเหล้า จากนั้นก็ให้ขุนนาง 8 คน ผ่านความเห็นชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้” คิมยูซิน กล่าว

“ช่างเป็นการกระทำที่ต่ำช้านัก เป็นถึงองครักษ์แท้ ๆ ยังไปรวมหัวกับพวกขุนนางอีก” ไอชอง กล่าว

“ถ้าอย่างงั้น ตอนนี้ท่านยองชุนกับใต้เท้าคิมอยู่ไหน”

เมื่อพีดัมรู้ว่า ที่ยอจงจับตัวตนเองมาเป็นแผนของมีซิลก็สอบถาม

“นี่....ตอบข้ามาเร็ว มีแผนชั่วอะไรอีก”

“ไม่มีแผนต่างหากถึงได้ทำแบบนี้ อย่างน้อยข้าก็ต้องใช้ความคิดบ้างซี่”

“คนอย่างท่านจะมีความคิดอะไร”

“หึ....ข้อหนึ่งคือ เจ้าเป็นใคร ทำไมท่านมีซิลต้องมาสั่งการด้วยตัวเอง ถึงข้าจะเคยทำงานให้พวกเขามาบ้าง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่มีซิลจะออกหน้าด้วยตัวเอง หึ....”

“หึ....”

“และข้อสอง นางบอกว่าวันนี้กับพรุ่งนี้ หึ....ข้าสงสัยว่าต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ หึ...แต่จะเป็นเรื่องอะไรได้ หึ...”

“หรือว่า มีซิลคิดจะ...หึ...แก้มัดเร็ว แก้มัดให้ข้าเดี๋ยวนี้” พีดัม กล่าว

“ถ้าปล่อยเจ้าได้ง่าย ๆ ข้าคงไม่นั่งเก๊ก ซิมอยู่นี่หรอก เฮ่ย....”

“พูดไม่ฟังใช่ไหม”

“เลิกกดดันข้าซะทีเถอะ ข้ารู้ว่าการจับเจ้าเท่ากับฆ่าตัวเองทางอ้อม แต่ถ้าปล่อยเจ้าก็ต้องเป็นศัตรูกับท่านมีซิลแล้วใครจะกล้าล่ะ”

“นี่แปลว่าอยากตายใช่ไหม บอกให้ แก้มัดเดี๋ยวนี้ไง”

“เอ่อ.....ฮือ....คือ...เจ้าก็เกลี้ยกล่อมข้าซี่ บอกว่าถึงปล่อยเจ้าก็ไม่ต้องกลัวที่จะเป็นศัตรูกับมีซิล ข้าจะได้วางใจไง ฮือ...”

ด้านคิมซอยอน และ ยองชุน เมื่อเดินทางมาถึงที่ประชุมขุนนาง แต่ก็ไม่ได้เข้าประชุมถูกทหารของมีซิลขัดขวางไว้ แทพุงจึงนำเรื่องนี้มาบอกคิมยูซิน

“มีทหารมาขวางหรือ ท่านยูซิน เราจะไม่ทำอะไรบ้างหรือไง ช่างเป็นการกระทำที่น่าประณามที่สุด” ไอชอง กล่าว

“จุปัง โกโต ไปทูลองค์หญิงให้ทรงทราบ เกี่ยวกับเรื่องนี้ และรอฟังคำบัญชา” คิมยูซิน สั่ง

“ครับ”

“ยังมีอีก องครักษ์ทั้งหลาย ทุกคนตามข้ามา”

“ครับ”

เมื่อองค์หญิงต๊อกมานรู้วิธีการของมีซิล ก็ปรึกษาหารือกัน

“เป็นการกระทำที่ต่ำช้านัก ขวางไม่ให้คนอื่นเข้าประชุม ในขณะที่ตัวเองก็รวมหัวลงมติอย่างลับ ๆ” แวยา กล่าว

“ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริง ๆ...ว่ามีซิล..นางจะกล้าใช้วิธีสกปรกแบบนี้ ข้าไม่เชื่อว่านางจะทำได้” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส

“อันที่จริง ธาตุแท้ของนางคือแบบนี้อยู่แล้ว หึ...มีแต่องค์หญิงเท่านั้น ที่ประเมินค่านางสูงเกินไป” ชุนชู กล่าว

“นี่ไม่ใช่เวลาจะมาถกเถียง เราต้องรีบยับยั้งเรื่องนี้ซะ” ซอแจ กล่าว

“ทำแบบนี้ ข้าว่ายิ่งดีซะอีก...เกี่ยวกับเรื่องการเก็บส่วย ทั้งขุนนางระดับล่างและราษฎรต่างชื่นชมความคิดขององค์หญิงเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกัน สภาขุนนางกลับสวนกระแส ลงมติที่ตรงกันข้าม แค่นี้ก็ถือว่าแย่แล้ว ที่สำคัญ ยังกีดกันไม่ให้ขุนนางเข้าประชุมอีก หึ....แล้วสุดท้ายผลจะเป็นไง” ชุนชู กล่าว
ฮาจองรีบมาดูท่านเซจองที่ถูกลอบทำร้าย ด้านจูจินเมื่อเห็นว่าท่านเซจองถูกทำร้าย ก็สั่งให้ทหารเตรียมพร้อมเดินหน้าเข้าวังหลวง เพื่อปราบปรามคนที่คิดปองร้าย เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือ การก่อกบฏ

“นี่คือการก่อกบฏ...โดยมีซิล...เป็นต้น คิด” ต๊อกมานเดาความคิดมีซิลไว้ไม่ผิด

ขณะที่มีการต่อสู้กันอย่างหนัก โพจอง บอกยิมจงว่า ขณะที่ขุนนางทั้งหลายเดินออกจากห้องประชุม มีคนลอบสังหารท่านเซจอง โดยมีท่านยูซินกับท่านไอชองเป็นผู้นำ พาองครักษ์พกอาวุธเข้าไปถึงห้องประชุมขุนนาง และตอนนี้กำลังต่อสู้อยู่

“ท่านยูซินกับท่านไอชองน่ะหรือ”

“แล้วท่านเซจองล่ะ”

“อาการเขาเป็นไงบ้าง”

“ตอนนี้กำลังช่วยอยู่” โพจอง กล่าว

“แต่ยังไงก็ฟังไม่ขึ้น ทำไมท่านยูซิน ต้องคิดปองร้ายท่านเซจองด้วยล่ะ”

“สาเหตุเบื้องหลังยังต้องไต่สวนอีกที แต่ประเด็นในการประชุมวันนี้ คือต้องการให้องค์หญิงทรงวางมือจากราชกิจทั้งปวง แสดงว่าผู้บงการอาจเป็นองค์หญิงก็ได้...เพราะฉะนั้น ท่านชิซูให้พวกเจ้ารออยู่นี่ เพื่อจะฟังคำสั่งต่อไป อย่าเพิ่งทำอะไรวู่วามล่ะ” โพจอง กล่าว

มหาดเล็กเข้ามาทูลให้พระเจ้าจินพยองทราบว่าตอนนี้ด้านนอกเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว และอยากให้พระองค์เสด็จออกจากตำหนักก่อน ด้านแทนัมโพมาพบองค์หญิงต๊อกมาน เพื่อทูลเชิญไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท

“ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ไปเข้าเฝ้า หม่อมฉันจะคุ้มกันไปตำหนักยินคังเดี๋ยวนี้”

“น่าแปลก ทำไมฝ่าบาทให้เจ้ามาส่งข่าวล่ะ” องค์หญิงต๊อกมาน กล่าว

“รีบเสด็จเร็วเข้า”

ซอวอนถือสิทธิเข้ามาคุมตัวขุนนางผู้ใหญ่ไว้ โดยอ้างว่าเป็นเพราะพวกเขาถืออาวุธเข้ามาในที่ประชุม ทำลายกฎของราชสำนัก ถึงขนาดให้คนปองร้ายท่านเซจอง

“เราไม่เคยคิดร้าย ไม่มีใครทำร้ายท่าน เซจองแน่นอน” คิมยูซิน กล่าว

“จริงเท็จยังไงต้องรอไต่สวนถึงจะรู้ ตอนนี้ยอมให้จับก่อนเถอะ”

“นี่เป็นหลุมพรางชัด ๆ เราหลงกลพวกเขาเข้าแล้ว”

“พวกเจ้าถืออาวุธเข้ามา ยังกล้าปฏิเสธอีกหรือ....คุมตัวพวกเขาไปที่กรมอาญาให้หมด”

“ครับ”

“บังอาจนัก ไม่มีพระบัญชาจากฝ่าบาท ใครกล้ามาจับขุนนางผู้ใหญ่” ยองชุน กล่าว

“ใช่แล้ว แม้ว่าเมื่อกี้จะเกิดเหตุอันน่าเศร้ากับท่านเซจองก็จริง แต่ฝ่าบาทยังไม่ทรงทราบเรื่อง พวกเจ้าจะมาจับขุนนางผู้ใหญ่ มิเท่ากับผิดกฎหมายเห็น ๆ หรอกหรือ”

“ถ้ามีหมายจับที่ฝ่าบาททรงประทับตราด้วยพระองค์เอง ก็เอาออกมาได้ แต่ถ้าไม่มีละก้อ ใครก็ไม่มีสิทธิมาจับเรา”

“แต่ถ้าจะใช้กำลังละก็ พวกเรา....เห็นจะไม่ยอมจำนนง่าย ๆ แน่”

“งั้นก็ได้ ข้าจะไปทูลให้ฝ่าบาททรงทราบ แต่ระหว่างนี้ ใครก็ห้ามออกจากที่นี่แม้แต่คนเดียว” ซอวอน กล่าว

มีซิลวางแผนเตรียมให้คนไปขโมยตราหยกของพระเจ้าจินพยอง เพื่อลงประทับตราในการจับกุมผู้ต้องหาที่คิดก่อการกบฏ โดยจะโยนความผิดให้ต๊อกมานเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง นางจึงให้คนคุมตัวต๊อกมานไปที่ตำหนักยินคัง ด้านพระเจ้าจินพยองอ่านเกมของมีซิลออก จึงพาทุกคนหนีไปซ่อนตัวในที่ปลอดภัย ด้านโซวาเสนอตัวเป็นผู้นำตราหยกออกจากตำหนัก เพื่อหนีการช่วงชิงของมีซิล

“ฝ่าบาท ถ้าไง ให้หม่อมฉันเอาตราหยกหนีไปมั้ยเพคะ...คงไม่มีใคร...สามารถทำได้เหมือนหม่อมฉัน”

“แต่ว่า เจ้าจะมีวิธีหนีออกจากวังได้ยังไง”

“หึ...ได้ยินว่า ในวังมีทางลับที่จะออกไปข้างนอกได้ไม่ใช่หรือเพคะ เพราะฉะนั้น เราถึงมาหลบภัยที่นี่ก่อน”

“แต่ว่า ทางลับนั่น มีซิลก็รู้ว่ามันอยู่ ที่ไหน”

“ถ้าไงหม่อมฉัน ขอบังอาจทูลว่า ให้ฝ่าบาททรงเป็นเหยื่อล่อก็พอ” โซวา กล่าว

มีซิลเป็นห่วงอาการของท่านเซจอง แต่มีเซ็งว่า กำลังรักษาอยู่ คิดว่าน่าจะปลอดภัยในไม่ช้า

“ฝ่าบาทล่ะ”

“กำลังหาอยู่ครับ อีกไม่นานคงเจอ ยังไงก็อยู่ในตำหนักยินคังอยู่แล้ว เว้นแต่ฝ่าบาทจะกลายเป็นนก หรือไม่ก็เป็นขอมดำดิน เฮ่อ ๆ ๆ”

“ทางออกทุกเส้นทางของตำหนักยินคัง ส่งทหารไปเฝ้าหมดหรือเปล่า” มีซิล ถาม

“มีท่านชิซูคอยบัญชาการอยู่ พี่ใหญ่ไม่ต้องห่วงไปหรอก”

“ท่านเซจู...ท่านยองชุนบอกว่า ถ้าไม่มี พระบัญชา จะจับขุนนางผู้ใหญ่ไม่ได้ เลยขัดขืนอยู่น่ะครับ เราจะทำไงต่อดี” ซกพุง กล่าว

“ถามได้ ก็ไปจับมาให้หมดนั่นแหละ”

“ไม่ได้ บอกพวกเขาว่ารอเดี๋ยวก่อน” มีซิล ห้ามไว้

“ครับ” ซกพุงรับคำสั่งก่อนออกไป

“ยองชุนหรือ”

“ข้าจะไปเข้าเฝ้าและทูลให้ทรงทราบเอง”

“อะไรนะ”

“ส่วนเจ้ารับหน้าที่...คอยต้อนรับองค์หญิงต๊อกมาน” มีซิล กล่าว

จุปังและโกโตกระวนกระวาย เมื่อเห็นว่าองค์หญิงต๊อกมานกำลังถูกคุมตัวไป อีกทั้งตอนนี้ในวังกำลังยุ่งเหยิงไปหมด เลยไม่รู้จะช่วยองค์หญิงต๊อกมานได้อย่างไร

“โกโต เกิดมาข้าไม่เคยเห็นใครเป็นจอมพลังเหมือนอย่างเจ้า ไม่ต้องกลัว อย่าคิดว่านี่คือการประลอง นึกว่าเป็นการล่าสัตว์” ยูซิน กล่าว

“ครับ”

“จุปัง”

“หา...”

“เจ้าเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ พยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญซึ่งหน้า สู้แบบใช้สมองหน่อย”







..............จบตอนที่ 45.............



วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 44



Queen Seon Deok ( 善德女王/ 선덕여왕)
เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 44
Cr. : Dailynews Online


พีดัม คุณชายชุนชู และยอจง แปลกใจที่เซจอง มีเซ็งและฮาจอง ออกเสียงเห็นด้วยหมด

“หึ....สมแล้วที่เป็นมีซิล ขนาดนี้ยังกำหนดได้อีก”

“สามารถที่จะให้ญัตตินี้ตกไปง่าย ๆ ขณะเดียวกันก็ไม่ถูกผู้คนประณามว่า คัดค้านการเปลี่ยนระบบเก็บส่วย” ชุนชู กล่าว

“แต่องค์หญิงก็มีข้อเสนอใหม่ จากที่การประชุมต้องมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ถือเสียงข้างมากก็พอ และตอนนี้กำลังถกกันอยู่น่ะครับ” ยอจง กล่าว

“เสียงข้างมากหรือ”

“ใช่ แต่ข้าว่าเห็นจะลำบาก ขนาดเรื่องเก็บส่วยยังคิดเห็นไม่ตรงกัน แล้วใช้เสียงข้างมาก รับรองว่าไม่มีทางผ่านง่าย ๆ แน่”

“ไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร แค่นี้ก็เป็นวิธีที่ดีแล้ว” ชุนชู กล่าว

“เพราะอะไร” พีดัม กล่าว

“ลองคิดดู คนที่หวังให้ผ่านญัตตินี้และกำลังรออยู่ พอเห็นผลที่ออกมาจะผิดหวังแค่ไหน”

“และความผิดหวังก็จะเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นในที่สุด” พีดัม กล่าว

“อืม....ความโกรธแค้นของชาวบ้าน จะไปถึงสภาขุนนางในไม่ช้า”

“และคิดว่ามีสภาขุนนางไว้ทำอะไร จริงหรือเปล่า”

“ใช่แล้ว ใคร ๆ ก็คิดแบบนี้ เป็นหน่วยงานที่ไม่มีประโยชน์เลย เราต้องทำให้ชาวบ้านเกิดความคิดแบบนี้”

ข้อเสนอขององค์หญิงต๊อกมานที่ให้ถือเสียงข้างมากแทนที่จะเป็นเอกฉันท์เหมือน อย่างเดิมนั้น เมื่อมีการคงมติของเหล่าขุนนางก็มีผู้เห็นด้วย 2 เสียง คัดค้าน 8 เสียง จึงไม่ผ่านความเห็นชอบ ทำให้พวกชาวบ้านที่มารอฟังผลต่างก็ผิดหวังไปตามกัน องครักษ์ที่มีความคิดเห็นต่างกันก็ถกเถียงกันถึงเรื่องการมีทรัพย์สินมากหรือน้อยเป็นเรื่องธรรมดาจะให้ทุกคนมีเท่าเทียมกันเป็นเรื่องยาก

พระเจ้าจินพยองตรัสถามยองชุนถึงเรื่องใช้เสียงข้างมากเป็นมติ เป็นความคิดของต๊อกมานอีกหรือ

“แม้ว่าหม่อมฉันกับท่านซอยอนจะแสดงความเห็นชอบ แต่ขุนนางอื่นล้วนแต่ คัดค้าน เรื่องนี้จึงตกไปพ่ะย่ะค่ะ”

“เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว 700 ปีที่ผ่านมา บ้านเมืองเราอยู่มาได้ก็ด้วยมติเป็นเอกฉันท์ของสภาขุนนางนี่แหละ” พระมเหสีมายา ตรัส

“ไม่แน่ว่าเป้าหมายขององค์หญิง อาจไม่ได้หวังให้ผ่านความเห็นชอบก็เป็นได้เพคะ” ฮูหยินคิม ทูล

“ใช่ ญัตติตกไปก็จริง แต่ขุนนางระดับล่างและชาวบ้านที่มาดู ต่างก็รู้สึกเสียดายนัก ไม่แน่ว่าองค์หญิงอาจต้องการผลแค่นี้ก็ได้” คิมซอยอน กล่าวทูล

“เพื่อให้ทุกคนได้เห็นถึงความด้อยประสิทธิภาพ ถึงได้ทำแบบนี้หรือเปล่า”

“หม่อมฉันว่า เป้าหมายขององค์หญิง คือจุดนี้มากกว่า” ยองชุน ทูล

“ใช่ ทุกคนจะได้รู้ว่าอะไรที่เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ จะให้พวกเขาผ่านความเห็นชอบคงเป็นไปไม่ได้เลย โอย...” พระเจ้าจิน พยอง ตรัส แล้วไอ

“ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรหรือเปล่าเพคะ ถ้าไงกลับห้องบรรทมดีกว่ามั้ย”

“เฮ่อ....ข้าไม่เป็นไร หึ....ไม่ต้องห่วง เฮ่อ....”

เมื่อมีซิลได้เจอองค์หญิงต๊อกมานทั้งสองก็ได้สนทนากัน

“ศึกนี้เหมือนเราได้แลกหมัดคนละครั้ง ลงมติเสียงข้างมาก เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมไม่เบา”

“ใช่ เพราะต่อให้นโยบายดีแค่ไหน กว่าจะผ่านสภาขุนนางได้ เหมือนต้องต่อสู้อย่างหนักหน่วง” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส

“แต่การลงมติเป็นเอกฉันท์เป็นธรรม เนียมมานาน”

“แต่ว่า การลงมติเป็นเอกฉันท์ เริ่มไม่สอดคล้องกับการพัฒนาบ้านเมืองของเรา เพราะสภาในทุกวันนี้ กลายเป็นเครื่องมือปกป้องผลประโยชน์ของเหล่าขุนนางชั้นสูง โดยไม่เห็นแก่ใครทั้งสิ้น....และไม่มีนโยบายอื่นรองรับ ถ้าเป็นเรื่องที่พวกเขาคัดค้าน”

“องค์หญิงรับสั่งถูกแล้ว แต่ว่าหม่อมฉันก็มีความเห็น...ทุกวันนี้องค์หญิงก็ได้รับประโยชน์จากธรรมเนียมตรงนี้ไม่ทราบว่าจะรู้ หรือเปล่า”

“หึ....อะไรนะ”

“ถ้าหาก....เหล่าขุนนางร่วมมือกัน ขอให้องค์หญิงวางมือทางการเมืองและเอาญัตตินี้เข้าที่ประชุม ผลจะเป็นไงบ้าง....ถ้ามีประเด็นนี้ออกมา แล้วใช้เสียงข้างมากในการตัดสิน ขุนนางในสภา ออกเสียงแค่ 6 เท่านั้น องค์หญิงก็ต้องวางมือจากการเมืองทันที แต่ว่า ถ้าเป็นการลงมติเอกฉันท์ ขอเพียงท่านซอยอนหรือท่านยองชุน คนใดคนหนึ่งไม่เห็นด้วย ญัตตินี้ก็เป็นอันตกไป ทำให้องค์หญิงได้อยู่ในตำแหน่งอย่างมั่นคงเหมือนเดิม”

“หึ....งั้นหรอกหรือ เป็นผลพลอยได้ของข้าสินะ”

“ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย หรือว่า ธรรมเนียมปฏิบัติใด ๆ มักเป็นเกราะคุ้มกันของผู้ที่อยู่เหนือกว่า ถ้าใครคิดมาต่อกร ก็ต้องระวังอย่าให้ตัวเองบาดเจ็บ”

“ถ้าอย่างงั้น ในแง่ของกฎหมายหรือธรรมเนียมปฏิบัติ เราจะใช้เป็นเครื่องมือไปเล่นงานอีกฝ่ายได้ไหม”

“เล่นงานอีกฝ่ายหรือ....เฮ่อ ๆ ๆ ตายล่ะ ดูซิเนี่ย หม่อมฉันเกือบจะพลั้งปากสอนองค์หญิงอีกแล้ว ช่างเป็นเด็กที่ขยันใฝ่รู้จริง ๆ จนหม่อมฉันเกือบใจอ่อนสอนให้ซะแล้ว ขอทูลลา”

องครักษ์คนหนึ่งบอกกับซกพุงว่าหากญัตตินี้ผ่านความเห็นชอบจริง บ้านของซกพุงก็ได้รับประโยชน์

“แต่มันเป็นกลลวง ที่องค์หญิงจะทำลายฐานอำนาจของท่านมีซิล แค่นี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือ” ซกพุง กล่าว

“แต่ว่า คราวก่อนเราสองคน ต่างก็ขาดทุนเพราะเรื่องตุนสินค้าไปเยอะ...สำหรับพวกขุนนางแทบไม่กระเทือนอะไรเลย แต่กับพวกเรา เท่ากับได้ชดเชยในสิ่งที่สูญเสีย...ข้าคง ไม่ได้พูดอะไรผิดใช่ไหม”

“ข้าไม่อยากเถียงกับเจ้า แต่ขอให้ระวังคำพูดหน่อย ที่พวกเรามีฐานะอย่างทุกวันนี้ ก็เพราะบารมีของท่านมีซิลคุ้มหัว จงอย่าลืมซะ”

“ท่านซกพุง ๆ ช่างดื้อจริง ๆ”

พวกขุนนางระดับล่างที่ไปสังเกตการประชุม ได้รวมตัวอยู่นอกวังเพราะไม่พอใจมติที่ประชุมขุนนาง

“มองในแง่จุดยืนของพวกเขาก็ไม่ แปลก” มีซิล กล่าวกับพวกลูกน้อง

“จะมาเปลี่ยนง่าย ๆ ได้ไงครับ การลงมติเป็นเอกฉันท์เป็นธรรมเนียมมาตั้ง 700 ปี แล้วนางเป็นใครนึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้หรือ” ฮาจอง กล่าว

“ไม่หรอก กฎข้อนี้ช้าเร็วก็ต้องแก้ใหม่ จริง ๆ แล้ว ทุกวันนี้เราไม่จำเป็นต้องมีสภาขุนนางด้วยซ้ำ”

“ท่านเซจู”

“อะไรนะ ไม่จำเป็นต้องมีหรือครับ นี่มันหมายความว่าไงน่ะ”

“ใช่ อีกหน่อยถ้าข้าบรรลุเป้าหมายจริง อันดับแรกที่จะปลดก็คือสภาขุนนางนี่แหละ ....แต่ว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา”

คุณชายชุนชู เสนอให้ยกเลิกสภาขุนนาง ซึ่งองค์หญิงต๊อกมานก็มีความคิดเห็นเหมือนกัน

“แต่ว่า นี่เป็นสภาที่อยู่คู่บ้านเมืองมา 700 ปีแล้ว จะยกเลิกได้หรือพ่ะย่ะค่ะ” ไอชอง ทูล

“วันนี้ไป สิ่งรอบข้างของเราจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอด เพราะฉะนั้น ไม่ว่ายังไง คงต้องเปลี่ยนค่านิยมบางอย่างทิ้งไป แต่ต้องทำอย่างรอบคอบ....ตอนนี้แคว้นชิลลา ต้องการผู้นำที่เด็ดเดี่ยว และมีวิสัยทัศน์กว้างไกล” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส

มีซิลสั่งให้ซอวอนคิดแผนขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นแผนการที่ต่ำช้าและเลวร้ายมาก ด้านมีเซ็งสอบถามมีซิลว่าจะเดินหน้าต่อหรือไม่

“ทำไมหรือ เจ้าไม่ชอบในสิ่งที่ข้าทำหรือไง” มีซิล ถาม

“หึ ๆ มันก็ไม่เกี่ยวกับชอบหรือไม่ชอบหรอก เพียงแต่....”

“เพียงแต่....”

“ไม่เหมือนปกติวิสัยที่ท่านเคยเป็นมาน่ะสิ....ทุกวันนี้ไม่ว่าใครจะวิพากษ์วิจารณ์ยังไง ข้ายังเชื่อว่าผลงานของท่านจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ แต่ว่าถ้ายังยืนกราน ไม่แน่สิ่งที่สร้างมาอาจจะพังทลายหมด”

“มันก็อาจเป็นอย่างงั้น”

“คนนอกอาจจะไม่เข้าใจท่าน หรือเกรงในบารมีก็ช่าง แต่จนถึงวันนี้ ท่านไม่เคยทำสิ่งที่ผิดต่อมโนธรรมของตัวเองไม่ใช่หรือ...แต่ว่า เรื่องนี้ ข้ารู้สึกถึงความไม่ถูกต้อง” มีเซ็ง กล่าว

“ไม่หรอก ครั้งหนึ่ง ข้าเคยทำสิ่งที่ผิดต่อมโนธรรมตัวเองเหมือนกัน...ซาตาฮัม ความรักที่มีต่อเขา จนคิดจะหนีตามไป ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง...นั่นคือสิ่งที่ผิดต่อมโนธรรมของข้าอย่างมาก ใช่ และตั้งแต่นั้น ข้า...จะไม่ทำสิ่งที่ไม่ผ่านการทบทวนอย่างหนัก”

“แล้วทำไม มาวันนี้กลับจะทำเรื่อง อย่างงั้นล่ะ”

“ความรู้สึก...เช่นเดียวกับสมัยก่อน ด้วยความรักที่มีต่อซาตาฮัม ทำให้ข้าหลีกเลี่ยงไม่ได้”

“ความรู้สึก...ในตอนนั้นคือ...”

“ข้าจำเป็น...ต้องละทิ้งความรัก เพื่ออุดมการณ์ที่หวังไว้ เหมือนที่เคยตัดใจ...ละทิ้งคนรัก เพื่ออนาคตอันรุ่งเรืองมากกว่า ก็แค่นี้แหละ” มีซิล กล่าว

องค์หญิงต๊อกมานให้คิมยูซินไปตาม จูจิน ที่เป็นพ่อขององครักษ์พีทันและวังยุน เข้าเฝ้า

“ท่านยูซินเล่าให้ข้าฟังหมดแล้ว พวกท่านเข้าใจในสิ่งที่ข้าทำ ต้องขอขอบคุณมาก”

“องค์หญิงรับสั่งเกินไปแล้ว เราต่างหากที่ต้องขอบพระทัย”

“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงทรงให้ความเป็นธรรมแก่ขุนนางระดับกลางอย่างเรา ถือเป็นพระเมตตายิ่งนัก”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ถ้ามีพวกท่านเป็นแบบอย่าง ต่อไปงานของข้าคงจะง่ายขึ้น รวมถึง จะได้ปรับเปลี่ยนสภาขุนนางด้วย”

“อึม....”

“ทุกวันนี้สภาขุนนาง มักเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง มากกว่าจะเห็นแก่บ้านเมือง ต่อไป ข้ายังต้องให้พวกท่านช่วยอีกหลายอย่างนัก”

“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”

จูจินนำเรื่องที่ได้เข้าเฝ้าองค์หญิงต๊อกมาน มาเล่าให้เซจองรู้

“คิดจะเปลี่ยนสภาขุนนางหรือ” เซจอง ถาม

“ใช่ครับ ซ้ำยังว่าขุนนางที่ห่วงแต่ตัวเอง สมควรจะถูกถอดถอนทั้งหมด”

“ท่านจูจิน รู้แล้วใช่ไหม นี่คือแผนที่องค์หญิง จงใจนำมาเป็นข้อต่อรอง เพื่อให้พวกเราเกิดความแตกแยก....ท่านต้องหนักแน่นไว้ อย่าหลงกลนางล่ะ”
“เรื่องหลงกลคงจะไม่หรอก อย่างมากก็แค่แลกด้วยชีวิตเท่านั้น”

“อย่าพูดอย่างงั้นสิ ท่านอยู่เมืองซังจู ปกครองทหารซึ่งมีหน้าที่ปกป้องเมืองหลวงของเรา ควรแล้วหรือ....ที่จะเห็นคนนอกสำคัญกว่าน่ะ”

“ยังไงข้าก็เชื่อท่านคนเดียวเท่านั้น” จูจิน กล่าว

มีซิลเดินทางมาหายอจงด้วยตนเองจนทำให้ยอจงถึงกับประหลาดใจ

“เราสองคน....แม้จะเพิ่งเจอหน้า แต่ข้าก็รู้วีรกรรมของท่าน ได้ยินว่าหลายเดือนนี้ช่วยเราทำงานไม่น้อย”

“ข้าจะมีปัญญาช่วยอะไรท่านได้ครับ นอกจากเอาความรู้ที่ไปอยู่ต่างเมืองมาเล่าให้ท่านมีเซ็งฟังก็เท่านั้น”

“ข้าถึงชื่นชมท่านนัก เพราะเป็นคนที่รู้กาลเทศะและทำงานเก่ง ยังไงต่อแต่นี้ หวังว่าเราจะร่วมงานกันด้วยดีล่ะ” มีซิล กล่าว

“แหม....ท่านพูดแบบนี้ ข้าก็ตื้นตันมากแล้ว คือ....ไม่ทราบว่าท่านมีซิลมีอะไรจะให้รับใช้”

“ได้ยินว่าท่านสนิทกับพีดัมมากใช่ไหม”

“เอ่อ....”

“อีกสองวันพยายามชักชวนเขาไปเที่ยวในที่ที่ห่างไกลจากเมืองหลวง อย่าเพิ่งให้กลับมาตอนนี้ได้ไหม”

“จะให้เขา....ไปเที่ยวหรือครับ”

“ท่านฟังไม่ผิดหรอก หาที่ที่ทิวทัศน์ สวยงาม ให้เขาพักผ่อนซัก 2-3 วันแล้วค่อยกลับมา”

“เอ่อ...แต่...แต่ถ้าเขา...ไม่ยอมไปกับ ข้าน้อยล่ะครับ”

“ไม่ยอมไป ก็ใช้กำลังพาเขาไปให้ได้” มีซิล กล่าว

ซอวอนได้มาหายองชุนที่บ้านพัก

“ท่านจะพูดอะไรกันแน่ โปรดอย่าอ้อมค้อมได้ไหม”

“คุณชายชุนชู เป็นลูกพี่ชายท่าน จึงมีศักดิ์เท่ากับเป็นหลานอา รวมถึง....ยังเกี่ยวดองเป็นหลานเขยข้าอีกต่างหาก”

“แล้วยังไง ท่านจะมาพูดอะไรกับข้าอีก” ยองชุน ถาม

“ความจริงคุณชายชุนชูกับฝ่ายเรามีความเกี่ยวพันก็ดีแล้ว แต่กลับทำให้ข้าวางตัวลำบากนัก”

“เพราะปัญหาระหว่างท่านกับท่านเซจองใช่ไหม”

“ใช่ ข้าบอกแล้วว่าไม่ได้ผูกมัดเขา แต่ ท่านเซจองก็ไม่ยอมเชื่อ...ท่านยองชุน ข้าอยากรู้ว่าท่าน...ใจจริงก็อยากให้คุณชายชุนชูเป็นพระราชาองค์ต่อไปหรือเปล่า”

“ความหมายของท่านคือ...อะไรกันแน่”

“เราสองคน....จำต้องลงเรือลำเดียวกัน เพราะเหตุการณ์บังคับไม่ใช่หรือ”

ด้านฮาจองก็เดินทางมาหาคิมซอยอนเพื่อ ตีสนิท โดยอาศัยลูกสาวที่ได้มาเป็นสะใภ้บ้านสกุลคิม ส่วนยอจงก็มาหาพีดัมเพื่อชวนออกไปเที่ยว หาเหล้าดื่มโดยใส่ยานอนหลับผสมในเหล้าทำให้พีดัมหลับไปโดยไม่รู้ตัวและโดนยอจงจับมัดเชือกไว้

เมื่อซอวอนเดินทางกลับมา มีซิลก็รีบสอบถามเรื่องไปพบยองชุน สำเร็จหรือไม่

“ใช่ สำเร็จแล้ว”

“ของสิ่งนั้น เอากลับมาด้วยหรือเปล่า”

“สามารถเอากลับมาได้ก็จริง แต่ว่า ท่านจะ เอาไปทำไม”

“ดีมาก มาให้ข้าเร็ว” มีซิล กล่าว

“ท่านเซจู....ข้าพยายามจะเข้าใจในสิ่งที่ท่านทำ ถึงได้ยอมช่วยเหลือ แต่ว่า เรื่องนี้ไม่เห็นจะเข้าใจซักนิด ทำไมต้องเป็น....”

“ที่ข้าต้องการของสิ่งนี้ก็เพราะ....ต้องการท่านซอวอนคนเดิมกลับมา และช่วยคลี่คลายความกลัดกลุ้มของท่านด้วย”

“แต่ว่า ทำไมต้องให้ข้าเอามันมาในเวลานี้ด้วย”

“เพื่อที่ว่า จะได้ช่วยให้ข้าสบายใจขึ้น”

“ข้าไม่เข้าใจความหมายของท่าน”

“สิ่งที่เรากำลังจะทำ ห้ามมีคำว่าล้มเหลว เด็ดขาด”

“หมายความว่า....”

“ใช่ นั่นก็คือพีดัม”

ด้านยองชุนและคิมซอยอน ก็ถูกวางยาในเหล้าเช่นกัน ทำให้ทั้งสองหลับไม่ได้สติ เช้าวันรุ่งขึ้น องครักษ์ของเซจองได้นำหมายเรียกประชุมไปให้ที่บ้าน เมื่อเห็นทั้งสองยังไม่ตื่น จึงให้พ่อบ้าน และฮูหยินคิมเป็นคนเซ็นรับและประทับตราให้ หลังจากทั้งสองตื่นขึ้นมาจึงรู้ว่ามีหมายเรียกเข้าประชุม เพื่อลงมติลิดรอนอำนาจขององค์หญิงต๊อกมานเพื่อไม่ให้ยุ่งกับการบริหาร ทั้งสองตกใจมากจึงรีบแต่งตัวเพื่อเดินทางไปเข้าร่วมประชุมทันที

ด้านพีดัมเมื่อตื่นขึ้นมาก็โวยวายกับ ยอจง

“เอ่อ...เจ้าอย่าเพิ่งโวยวายได้ไหม ตอน นี้ข้ารู้สึกสับสนไปหมดแล้ว”

“แก้มัดให้ข้าเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่อยากตายละก็ บอกให้แก้มัดให้ข้าเร็ว เร็วซี่”

“เดี๋ยวก่อน ๆ หึ....อย่าเพิ่งโมโหได้ไหม คือ....ขอข้าตั้งสติซักนิดเถอะนะ หึ....”

“เจ้านี่ ดูท่าจะเบื่อชีวิตซะแล้วใช่ไหม มัดขาข้าด้วยหมายความว่าไง หา....”

“ก็บอกว่าใจเย็น ๆ อย่าโมโหไง ใจเย็นก่อน”

“มาสิ มาใกล้ ๆ ข้า แน่จริงก็มาเลย ดูซิข้าจะทำอะไรเจ้าบ้าง มาใกล้ ๆ ข้าเร็ว กล้าหรือเปล่า”

เมื่อถึงเวลาประชุม คิมซอยอน และ ยองชุน ยังเดินทางมาไม่ถึง

“นี่มันเวลาไหน ยังมีคนขาดอีกหรือ” เซจอง กล่าว

“ท่านยองชุนกับท่านซอยอน ยังไม่มาเลยครับ”

“แต่เลยเวลาไปมากแล้วนี่นา ในเมื่อส่วนใหญ่มากันพร้อม งั้นก็ประชุมไปก่อนละกัน” ฮาจอง เสนอ

“อะไรนะ การประชุมแบบนี้ต้องอาศัยมติเป็นเอกฉันท์ในการลงความเห็นไม่ใช่หรือ”

“ใช่ ท่านพูดก็ถูก ต้องใช้มติเป็นเอก ฉันท์จริง ๆ ใครบอกว่าถ้ามีเสียงคัดค้านแล้วเรายังจะดึงดันอีก” มีเซ็ง กล่าว

“ถ้าอย่างงั้น ตอนนี้ท่านยองชุนกับ ท่านซอยอนยังไม่มา แล้วเราจะประชุมได้ยังไง” ขุนนางคนหนึ่งกล่าว

“ตอนนี้ก็มีขุนนางผู้ใหญ่ 8 คนอยู่กันพร้อมหน้า ขอเพียงพวกเราทุกคน ลงมติเห็นชอบก็พอแล้วนี่” เซจอง กล่าว





..............จบตอนที่ 44.............



วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 43



Queen Seon Deok ( 善德女王/ 선덕여왕)
เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 43
Cr. : Dailynews Online


องค์หญิงต๊อกมานตรัสกับชุนชูว่าต่อไปจะต้องร่วมมือกัน และตนจะเป็นคนรับมือกับมีซิลเอง

“หึ....ไม่แน่องค์หญิงอาจจะตีความผิด หรือไม่ก็....มีซิลเกิดเสียสติขึ้นมาก็ได้ หึ....นางไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ ที่สำคัญเกิดในตระกูลต่ำต้อยด้วย” ชุนชู กล่าวทูล

“แต่เพราะเจ้า....บอกว่าการสืบสันตติวงศ์แบบเดิมเป็นความล้าหลัง ทั้งที่เจ้าเองก็ไม่มีสิทธิจะพูดอย่างงั้น”

“ถ้าอย่างงั้น แล้วมีซิล....ถือสิทธิอะไรที่จะครองราชย์ได้”

“หลายปีมานี้ นางเป็นคนเดียวที่กุมอำนาจการปกครอง....จะด้วยวิธีไหนคงไม่มีใครคิด เมื่อมาถึงระดับนี้ ก็ย่อมมีคนเทิดทูนไม่น้อย”

“ถ้าองค์หญิงทรงเห็นด้วยกับนาง งั้นก็หลีกทางให้นางละกัน” ชุนชู กล่าวทูล

“ไม่ได้ นางเป็นคนเก่งก็จริง แต่ถือเป็นภัยร้ายสำหรับแคว้นชิลลา....เพราะไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น นางจะให้ความสำคัญกับอำนาจมาก กว่าสิ่งอื่นใดเสมอ แต่ว่าถ้าเป็นข้าครองราชย์บ้าง ข้าจะสร้างรากฐานให้มั่นคง นั่นก็คือราษฎรของเรา...แม้ว่าทุกวันนี้ ข้าจะมีกำลังน้อยกว่า แถมความสามารถก็ไม่โดดเด่นเท่ามีซิลก็ตาม แต่ว่า นั่นก็คือเหตุผลที่ข้าอยากครองราชย์....เราสองคน รวมกับราชสำนักและเผ่าคาย่าของท่านยูซิน ความกว้างขวางของท่านไอชอง กำลังทั้งหมดเหล่านี้จะรวมเข้าด้วยกัน ฉะนั้นถึงบอกว่าเจ้ามาอยู่กับข้าดีกว่า ตอนนี้เจ้าต้องตัดสินใจแล้ว”

ไอชองทูลถามองค์หญิงต๊อกมานเรื่องที่มี ซิลจะออกโรงเอง องค์หญิงต๊อกมานยืนยันว่าคงจะเป็นอย่างนั้น คิมยูซินจึงทูลถามเรื่องคุณชายชุนชู

“เฮ่อ...เป็นเด็กที่ถือดีเกินไป แต่ก็เชื่อว่าเขาคงไม่หลงผิดอีก พ่อค้าที่ชื่อยอจงนั่น เจ้าไปรู้จักได้ไง” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส

“เมื่อก่อนเคยช่วยอาจารย์หม่อมฉันทำงาน” พีดัม ทูล

“เขากับชุนชู เพิ่งมารู้จักตอนอยู่ชิลลาหรือ”

“ไม่ใช่ รู้จักก่อนหน้านั้น ดูเหมือนตั้งแต่สมัยอยู่เมืองสุย และเขาก็รู้นิสัยคุณชายชุนชูมาก กว่าใคร”

“งานของท่านมุนโน ส่วนใหญ่เขาจะช่วยในด้านไหน”

“เขาเป็นคนกว้างขวาง สามารถหาข่าวได้หลายทาง ทั้งโกคูรยอ แพ่กเจ และเมืองสุย หรือแม้แต่ในชิลลา ก็มีสายสืบอยู่เยอะที่พร้อมจะหาข่าวให้เขาได้”

ต๊อกมาน “พอจะไว้ใจได้หรือเปล่า”

“ก็....พอได้มั้ง ถ้า....ไม่ไปเข้มงวดกับเขามากนัก อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อเขา ก็พอไว้ใจ ได้บ้าง”

“ความสามารถล่ะ” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส

“ข้อนี้รับประกันได้ อาจารย์ถึงไว้ใจเขา ให้ช่วยทำงานหลายอย่าง”

“ทรงคิดอะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ” คิมยูซิน ทูลถาม

“นั่นสิ มีซิลคิดยังไงกันแน่ ทรงบอกให้เรารู้เถอะ” ไอชอง กล่าวทูล

“จริง ๆ ไม่ใช่ความคิดของนาง แต่ข้า กับชุนชู ช่วยกันทำลายกำแพงที่นางไม่กล้าที่จะก้าวข้าม”

“เกี่ยวกับเรื่องเพศหญิง และความเป็นเชื้อพระวงศ์ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ” คิมยูซิน ทูลถาม

“ใช่ เป็นสิ่งที่นางไม่กล้าอาจเอื้อม แม้จะครองอำนาจมานาน ก็ไม่กล้าใฝ่ฝันถึง แต่นี่กลายเป็นว่า เรากำลังสร้างกฎใหม่ขึ้นมา”

“เพราะฉะนั้น นางก็จะขอเป็นรัชทายาท บ้าง” ไอชอง ทูลถาม

“ใช่ เพราะนางก็มีผลงานมาก ไม่ว่าด้านไหน ๆ ก็ไม่แพ้ใครเลย”

“ที่สำคัญ แม้ตอนนี้นางจะไม่อ้างบัญชาสวรรค์อีก ก็ยังทรงอิทธิพลมากกว่าใครในแคว้น”

“อึม....แถมยังครอบคลุมทุกด้าน ไม่มีเสื่อมถอย”

“ที่สำคัญกว่านั้นคือ นางเป็นคนที่ไม่ยอมละทิ้งความฝันตัวเองง่าย ๆ....เพราะฉะนั้น ในเมื่อเป็นพระมเหสีไม่ได้ งั้นก็สู้....”

“ครองราชย์เองซะเลย” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส

“เฮ่อ....ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ช่างเป็นมนุษย์ที่รับมือยากจริง ๆ”

“เมื่อก่อนที่องค์หญิงประกาศจะครอง ราชย์ ก็ทำให้พวกเราเกิดความฮึกเหิมอย่างมากแล้ว เหมือนกับมีซิลตอนนี้ ยิ่งเป็นผู้หญิงก็ยิ่งส่งผลได้มาก”

“ถ้านางใช้อิทธิพลขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง ยังไม่ทำให้เราลำบากเท่าไหร่ แต่นี่กลายเป็นว่าตัดสินใจออกหน้าเอง เพื่อจะทำลายแผนยุยงของชุนชูให้ย่อยยับ ตอนนี้แม้ท่านเซจองกับซอวอนจะทะเลาะเบาะแว้ง แต่สุดท้ายก็ต้องปรองดองจนได้” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส

มีเซ็งตกใจที่รู้ว่ามีซิลคิดที่จะขึ้นครองราชย์ด้วยตนเอง จึงสอบถามซอวอน

“แต่ไหนแต่ไรข้าคือคนที่อยู่ข้างท่านเซจูตลอด....แม้ว่าสมัยก่อน ข้ามักรู้สึกน้อยใจที่ตัวเองเกิดมาต่ำต้อยและไม่กล้าหวังสูงกว่านี้ แต่ว่า นางกลับทำให้ข้าเรียนรู้หลายอย่าง และเราสองคนก็ค่อย ๆ เติบโตกันมา....ความฝันของนาง ก็คือความฝันของข้าด้วย”

“แต่ว่า ถึงท่านแม่จะเก่งกาจยังไง นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะ” ฮาจอง กล่าว

“นางคิดแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง....ความฝันที่จะครองราชย์ เป็นสิทธิของผู้ชายเท่านั้น นางเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอกว่า จะมาเหนือกว่าเราได้ยังไง....ถ้าเรายอมให้ตามใจนาง ยังถือเป็นลูกผู้ชายอีกหรือ” เซจอง กล่าว

“นี่เป็นสิ่งที่ยาก แต่เราก็ต้องทำให้ได้” ซอวอน กล่าว

“เฮ่อ ๆ ๆ ๆ หึ...ใช่ คงต้องทำใจ...เฮ่อ ....ถ้าอย่างงั้น ข้าก็แล้วแต่นางเหมือนกัน”

“เฮอะ....เฮ่อ ๆ ๆ เฮ่อ ๆ ๆ บอกแล้วว่าพี่สาวข้าคนนี้ ไม่เหมือนผู้หญิงอื่นทั่วไป เฮอะ...เฮ่อ ๆ ๆ” มีเซ็ง กล่าว

“เรื่องนี้ ใคร ๆ ก็รู้อยู่ ไม่ต้องบอกหรอกครับ แต่นางจะทำได้สำเร็จหรือ”

องค์หญิงต๊อกมาน เชื่อว่ามีซิลไม่มีทางจะใช้ทหารในการก่อการ แต่นางจะต้องเกลี้ยกล่อมใต้เท้ายีซอ ท่านชุยบู, ท่านมุนโน ให้ทุกคนเห็นชอบด้วยเหตุผล จากนั้นค่อยก่อการโดยไม่ให้เสียเลือดเนื้อ

“และเวลาจะใช้ทหาร นางก็มีเหตุผลไปอธิบายให้ทุกคนฟัง” คิมยูซิน กล่าวทูล

“เพราะสาเหตุนี้ ตลอดเวลาที่นางครองอำนาจในชิลลา บารมีที่สั่งสมไว้จึงเป็นที่เกรงขาม และไม่มีใครกล้าหือ” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส

ซอวอนเห็นว่ามีซิลมีข้อได้เปรียบที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ จึงจะใช้จุดเด่นนี้ในการวางรากฐาน และเตรียมที่จะเสนอชื่อในที่ประชุมขุนนาง

“ขนาดองค์หญิงยังคิดเป็นได้ แล้วทำไม พี่ใหญ่จะคิดบ้างไม่ได้ ถ้าจะเป็นราชินีจริง ชื่อของพี่ใหญ่ยังเป็นที่เชื่อถือมากกว่า” มีเซ็ง กล่าว

“เฮ้....ถึงอย่างงั้นก็เถอะ เมื่อก่อนท่านแม่ก็เคยบอกไว้ เพราะเราไม่คิดครองราชย์ ใครต่อใครถึงมาสวามิภักดิ์ แล้วตอนนี้บอกว่าจะครองบัลลังก์ ใครจะรู้ว่าเหล่าขุนนางคิดยังไงบ้าง” ฮาจอง กล่าว

“สงสัยว่า จะเอาอย่างสมัยพระเจ้าจินจิ ถอดถอนพระราชาองค์นี้หรือเปล่า” มีเซ็ง กล่าว

“พระเจ้าจินจิ มีข้อบกพร่องหลายอย่างที่ทุกคนต่างก็เห็นด้วย” เซจอง กล่าว

“ใช่ แต่พระราชาองค์นี้ ยังไม่มีอะไรให้ตำหนิเด่นชัด” ซอวอน กล่าว

“ถ้าอย่างงั้น ก็เอาอย่างสมัยพระเจ้าจินฮึงก็ได้นะ” มีเซ็ง กล่าว

“ปลอมราชโองการหรือไม่ก็ลอบปลงพระชนม์” ฮาจอง กล่าว

“บังอาจ พูดจาให้ระวังปากซะบ้าง” เซจอง ต่อว่า

“นั่นเป็นเพราะว่า ตอนนั้นเราต่างเป็นคนสนิทของพระเจ้าจินฮึง ถึงมีโอกาสลงมือ” ซอวอน กล่าว

“เอาน่า แล้วมันยังไงกันแน่ จะเอาไงก็พูดมาซี่” ฮาจอง กล่าว

“คงต้อง....ใช้วิธีจู่โจมซึ่งหน้า” มีเซ็ง

“จู่โจมซึ่งหน้ายังไง” เซจอง ถาม

“ก็ให้สภาขุนนางเห็นชอบซะ วิธีนี้จะทำให้พี่ใหญ่ดูมีศักดิ์ศรี และมีความเป็นไปได้สูง” มีเซ็ง กล่าว

“ใช่ ข้าก็คิดอย่างงั้นเหมือนกัน แต่ฮาจองพูดก็ถูก ไม่รู้ว่าขุนนางอื่นจะคิดยังไง” ซอวอน กล่าว

องค์หญิงต๊อกมานและพวกประเมินกันว่าคงมีขุนนางจำนวน มากที่ไม่อยากให้มีซิล ได้ครองราชย์ กลายเป็นราชินีของพวกเขา องค์หญิงต๊อกมาน เห็นว่าการตัดสินใจของมีซิลครั้งนี้ ดูผิวเผินเหมือนจะได้เปรียบกว่าคนอื่น แต่จริง ๆ แล้ว อาจจะสามารถกำจัดนางได้ง่าย ๆ เพราะในที่สุดผู้หญิงคนนี้ ก็เผยธาตุแท้ออกมา จากนั้นก็สอบถามคิมยูซินถึงงานที่สั่งให้ทำ พร้อมสั่งให้วางแผนให้รอบคอบ รัดกุมให้มากที่สุด

องค์หญิงต๊อก มานเสนอปรับโครงสร้างการเก็บส่วยใหม่ ต่อพระเจ้าจินพยอง โดยยองชุนเป็นคนวางระบบ ซึ่งจะทำให้เก็บส่วยได้มากขึ้น แต่พระเจ้าจินพยองคิดว่าเหล่าขุนนางคงไม่เห็นชอบง่าย

“เพคะ ไม่ใช่เรื่องง่ายจริง ๆ เพราะมันคือ การต่อรอง ระหว่างราชสำนักกับขุนนางที่ยืดเยื้อมาหลายสิบปี และหม่อมฉันก็อยากให้มีข้อยุติ”

“ถ้าอย่างงั้น เป้าหมายที่จะปรับโครงสร้างการเก็บส่วยคืออะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” คิมซอยอน ทูลถาม

“ก่อนอื่นคือให้ราษฎรเข้าใจว่าสิ่งที่ทางการทำเพื่อพวกเขาและต่อรองมานาน มีผลประโยชน์ยังไงบ้าง”

“แล้วข้อสองล่ะ ยังมีข้อดีอะไรอีก” พระเจ้าจินพยอง ตรัสถาม

“เป็นการสันนิษฐานของหม่อมฉัน....มีซิล ....กำลังวางแผนจะครองราชย์ซะเอง”

“หา....หม่อมฉันไม่เข้าใจที่องค์หญิงรับสั่ง” ยองชุน กล่าวทูล

“เดี๋ยวก่อน นางไม่สนับสนุนชุนชูอีกแล้ว แต่จะครองราชย์เองงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“ใช่” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส

“หึ....”

“เพราะฉะนั้น เป้าหมายที่เราจะปรับโครงการเก็บส่วยก็คือ ลดบทบาทความสำคัญของมีซิลลงซะ และเราต้องทำให้ได้ด้วย”


เมื่อองค์หญิงต๊อกมานเสด็จกลับมาก็เข้าไปดูการทำงานของพีดัม

“ทำงานถึงไหนแล้ว”

“จากความช่วยเหลือของยอจง ได้ข้อมูลขุนนางมาร้อยกว่าคน กำลังดูอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่เฉพาะขุนนาง ยังรวมถึงคู่ครองลูกหลาน ญาติพี่น้องที่ใกล้ชิด รวมถึงความสัมพันธ์กับแคว้น แพ่กเจและโกคูรยอ ก็ต้องตรวจให้ละเอียดด้วย”

“พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันกำลังทำอยู่”

“ที่สำคัญ เราจะไม่ดูแค่ขุนนางฝ่ายเดียวคหบดีที่มีอิทธิพลในท้องที่ หรือหน่วยงานองค์กรที่ทำงานอย่างลับ ๆ ก็รวบรวมมาด้วยและตรวจสอบให้ละเอียด”

“พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันรับผิดชอบเรื่องนี้อยู่แล้ว ทรงวางพระทัยได้”

“แต่ก่อนที่เราจะเปิดเผย ห้ามบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้เด็ดขาด ต้องปิดเป็นความลับสุดยอดล่ะ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

“ข้ารู้ว่าท่านมีงานยุ่ง แต่ก็มีอีกงานหนึ่งอยากให้ทำ เครื่องเสวยและยาของฝ่าบาท ต้องมีคนดูแลให้ดี ท่านช่วยไปจัดการด้วย”

“เพราะอะไร” ไอชอง ทูลถาม

“หรือว่า....” คิมยูซิน กล่าวทูล

“ใช่ กันไว้ดีกว่าแก้ ในเมื่อมีซิลกลับมาเราก็ต้องรอบคอบ เตรียมการป้องกันเอาไว้”

“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ซอวอนมาบอกเซจอง มีเซ็งว่าจะมีการเรียกขุนนางไปพบทีละคนเพื่อถามความเห็นต่อการตัดสินใจของมีซิล

“เมื่อท่านเซจูประกาศตัวจะเป็นรัชทายาท เราก็ต้องประเมินพวกที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย รวมถึงคนที่วางตัวเป็นกลาง” เซจอง กล่าว

“ใช่ เราต้องประเมินความเป็นไปได้ทุกอย่างที่จะเกิด” ซอวอน กล่าว

“แต่ขุนนางที่เป็นฝ่ายเรา ส่วนใหญ่ก็อาศัยอยู่ในเมืองหลวงไม่ใช่หรือมี 35 สายสกุลที่ครอบครองที่กว่า 2 หมื่นซกขึ้นไป คนพวกนี้เราจะชี้นกเป็นไม้ก็ยังได้” มีเซ็ง กล่าว

“ที่แน่ ๆ มี 25 สายสกุลที่เป็นญาติกับเรา” ฮาจอง กล่าว

“นอกจากนี้ ยังมีคหบดีอีก 300 กว่ารายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้าหรือการเมืองก็ตาม ไม่รวมถึงบรรดาเศรษฐีรายเล็กรายน้อย และเจ้าถิ่นที่มีอิทธิพลในท้องที่ จุ๊ ๆ ตัวเลขสนับสนุนมีไม่น้อย แต่ว่าเอาเข้าจริงอาจไม่มีประโยชน์มากนัก”

“แต่ว่า ถึงจะไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าพวกเขาไม่เห็นด้วยกับเราก็เป็นปัญหาเหมือนกันถ้าเข้าใจเจตนาของเราผิดไป ก็มีสิทธิไปเข้าข้างองค์หญิงให้เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบได้” ฮาวอน กล่าว

“อึม....ถ้าจำเป็นจริง ๆ ก็ต้องผูกมัดพวกเขาเอาไว้”

“อึม....งั้นก็ไม่เห็นยากนี่ครับ ข้ายังมีลูก ที่ไม่แต่งงาน....8 คน ท่านน้าล่ะ มีลูกที่ยังไม่แต่งงานอยู่กี่คน” ฮาจอง ถาม

“ลูกที่ยังไม่แต่งงานหรือ เดี๋ยวก่อนขอนึกดูก่อน....”

“โธ่เอ๊ย....เป็นพ่อประสาอะไรกัน ลูกกี่คนที่ยังโสดทำไมจำไม่ได้ล่ะครับ”

“ก็มันเยอะจนจำไม่ไหวนี่นา” มีเซ็ง กล่าว

“ยังไงก็ช่าง เอาคนที่เหลือมาจับคู่ให้หมด ใช้การแต่งงานเกี่ยวดองเป็นญาติซะ วิธีนี้ง่ายที่สุด เฮ่อ ๆ ๆ”

“ใช่ เป็นวิธีที่ง่าย ที่จะให้พวกเขาไม่กล้าแปรพักตร์” ซอวอน กล่าว

“นั่นสิครับ ทำไมนับวันข้ายิ่งฉลาดก็ไม่รู้ น่าจะไปบอกให้ท่านแม่รู้ด้วย ว่ามั้ย เฮ่อ ๆ” ฮาจอง กล่าว

“แค่นี้ก็ดีใจแล้วหรือ ไอ้แผนตื้น ๆ นี่น่ะ แหะ ๆ ๆ หึ ๆ” มีเซ็ง กล่าว

มีซิล ถามชิซูว่าคิดอย่างไรกับเรื่องที่นางเสนอตัวเองขึ้นครองราชย์เพราะชิซูเป็นคนแรกที่รู้ความคิดของนาง

“หน้าที่ของข้าคือการรับใช้....ข้าไม่มีอะไรให้ห่วง ไม่เคยหวังลาภยศใด ๆ....อะไรที่เป็นความหวังของท่าน นั่นคือเป้าหมายสูงสุดในชีวิตข้าด้วย”

“แปลกจริง ฟังเหมือนการประชดยังไงไม่รู้”

“ข้ามิบังอาจ” ชิซู กล่าว

“ถึงโทษข้าก็ไม่มีประโยชน์ เพราะทุกคนที่มาเกี่ยวข้องกับข้าล้วนแต่หวังอะไรบาง อย่าง นอกจากเจ้าที่ยอมอยู่กับข้าโดยไม่หวัง อะไรเลย...ต้องโทษข้าที่คิดช้าไปหน่อย ถ้าสิบปีก่อนมีความคิดแบบนี้ละก็...”

“ท่านเซจู...ข้าให้คนไปซาวเสียงเหล่าขุนนางเกี่ยวกับเรื่องของท่าน” ซอวอน เข้ามา

“ดีแล้ว ท่านทำดีมาก แต่ว่าข้าจะไม่ไป ร่วมแก่งแย่งในตำแหน่งรัชทายาท...แต่ถึงอย่างงั้น การฟังความคิดเห็นคนอื่นก็เป็นผลดีต่อฝ่ายเรา เพราะฉะนั้นท่านจงทำต่อไป” มีซิล กล่าว

“ว่าแต่...จะทำไงกับชุนชูดีครับ” ซอวอน ถาม

“ชุนชูหรือ”

ยอจง เข้ามารายงานคุณชายชุนชูว่า องค์หญิงต๊อกมานจะเปลี่ยนระบบในการเก็บส่วยใหม่ จึงให้ข้ารวบรวมรายชื่อและประวัติคน ที่มีที่ดินในครอบครองไว้ ชุนชูคิดว่าองค์หญิงจะเอาอย่างตน จากนั้นก็เดินทางไปพบมีเซ็ง

“ทุกท่านสบายดีหรือ ไม่นึกว่าจะมาอยู่พร้อมหน้า”

“ท่านมาก็ดีแล้ว เรากำลังอยากพบอยู่พอดี” โพจอง กล่าว

“ต่อให้เป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อนอยากมีคู่ไว ๆ แต่ยังไงก็เป็นพระนัดดา แต่งงานทั้งที น่า จะจัดให้มีหน้ามีตาหน่อยนะ เฮ่อ ๆ” เซจอง กล่าว

“ก็นั่นน่ะซี้ งานใหญ่ของบ้านเราแท้ ๆ จะทำรวบรัดได้ยังไงจริงมั้ย” มีเซ็ง กล่าว

“ที่สำคัญคือ ว่าที่รัชทายาทคนใหม่ของ เราด้วย เหล่าขุนนางก็เลยบ่นกันพึม เฮ่อ ๆ ๆ” ฮาจอง กล่าว

“หึ...ใช่ ว่าแต่ตอนนี้ท่านมีซิล รู้มั้ยว่าอยู่ไหน” ชุนชู ถาม จากนั้นก็ไปหามีซิล

“ช่วงที่ข้าไม่อยู่ ได้ยินว่าแต่งงานแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย...ถ้าตอนนี้องค์หญิงชอนมยอง...ได้เห็นเข้าคงจะปลื้มพระทัยนัก... แต่มาคิดอีกที เราสองคน...ก็เหมือนมีวาสนาผูก พันกันอยู่...เสด็จปู่ของคุณชาย อดีตพระราชาจินจิ และพ่อของคุณชายคือท่านยองซู...เสด็จแม่ของคุณชาย องค์หญิงชอนมยอง...ล้วนแต่ตายเพราะ ข้าทั้งนั้น...เป็นเพราะอะไร...นั่นเพราะพวกเขาจะ ใช้ความเป็นเชื้อพระวงศ์มาข่มเหงข้าให้ดูต่ำต้อย ...แต่แม้ว่าคิดจะเอาชนะข้า พวกเขาไม่ได้ทุ่มเทความสามารถให้สมกับการต่อสู้....นี่แหละคือโฉม หน้าแท้จริงของการช่วงชิง ไม่ใช่แอบอยู่ข้างหลังใช้สมองคอยปั่นหัวคนอื่น ชั่วชีวิตข้าหวังจะเป็น พระมเหสีจึงปูทางไว้อย่างครบถ้วน ทั้งชีวิต และ จิตใจ ทุ่มให้กับเป้าหมายนี้โดยไม่เคยเปลี่ยน...ต่อให้เพลี่ยงพล้ำก็ไม่กลัว จะกัดฟันสู้ต่อ ยังไงก็จะเอาคืนเหมือนองค์หญิงต๊อกมานที่ยอมเอาชีวิตเข้า แลก คนที่คิดว่าจะมาต่อกรกับข้า มีเพียงสองทาง ให้เลือก ก็คือสู้ด้วยชีวิต หรือไม่งั้น...ก็ยอมตายซะ” มีซิล กล่าว

ชุนชูเดินทางมาหาองค์หญิงต๊อกมานที่ตำหนัก

“คราวนี้ ดูเหมือนองค์หญิงจะใช้แผนยุให้ แตกแยก คิดจะเอาอย่างข้าใช่ไหม” ชุนชู กล่าว

“อึม...เลียนแบบมาจากเจ้า และเรียนรู้มา จากมีซิล การโดดเดี่ยวฝ่ายที่เป็นศัตรู คงไม่ถือว่าผิดคุณธรรมมากนัก”

“สุดท้ายใครจะชนะ ข้าอยากรู้นัก”

“ช่วยข้าได้ไหม ด้วยปัญญาของเจ้า”

“เรื่องนี้ ต้องให้ข้ารีบตัดสินใจหรือเปล่า”

“ไม่จำเป็น จำได้ว่าเมื่อก่อนเจ้าเคยตั้งคำ ถามกับข้า ว่ากลับมาชิลลาเพื่อต้องการอะไรกัน แน่ แต่ข้ายังไม่ได้ตอบ...ไม่เพียงแต่เล่นงานมีซิล ยังมีฝ่าบาทและบ้านเมืองที่ไม่เป็นระเบียบ ข้าต้อง การเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด นับแต่นี้ข้าจะไม่ยึดมั่นต่อ ใครง่าย ๆ อีกทั้งฝ่าบาท พระมเหสี รวมถึงท่านยูซิน ข้าจะไม่ผูกพันกับพวกเขา ด้วยความรู้สึกเป็นส่วนตัว นี่คือคำตอบจากข้า...ใช้จิตใจที่ห้าว หาญและความเฉียบขาด เล่นงานทุกคนที่ขวาง หน้าให้หมด เจ้าเองก็ขอให้คิดเหมือนข้าด้วย...แต่ว่าชุนชูแค่นั้นยังไม่พอหรอก...เพราะเราไม่อาจไว้ใจใครได้ จึงต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง มาช่วยข้าอีกแรงเถอะนะ อย่าลังเลอีก”

คิมยูซิน เรียกเหล่านางในมาชี้แจงว่าต่อแต่นี้ไปโอสถของเจ้าจินพยอง โซวาจะเป็นผู้ดูแล และยาที่เข้ามาทุกชนิดต้องมีการจดบันทึก และรายงานต่อนาง แม้แต่การนำถวายก็เป็นหน้าที่ของ นาง จากนั้นก็ไปบอกแม่ของตนว่าให้คอยดูแลเรื่อง เครื่องเสวย ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบหรือเครื่องปรุง โดย เฉพาะที่มาจากต่างถิ่นต้องมีการตรวจอย่างถี่ถ้วนก่อนจะรับไว้ และเครื่องเสวยทุกประเภทที่นำขึ้นถวาย ต้องมีการตรวจสอบยาพิษก่อน

องค์หญิงต๊อกมานตรัสกับคิมยูซินว่าเมื่อวานชุนชูมาพบที่ตำหนัก แต่ท่าทางยังไม่รู้ว่าจะเอา ยังไงแน่ จากนั้นก็เข้าไปหาพีดัมกับไอชอง

“อูกวาง เป็นใคร” องค์หญิงต๊อกมานตรัสถาม

“เป็นเจ้าเมือง “คยองซอง” น้องเขยใต้เท้า “อาชังโท” ครอบครองที่ดิน...3,400 ซก” พีดัม ทูล

“จากที่ตรวจสอบ ทุกแปลงมีคนเช่าทำนาและเก็บค่าเช่าได้ครบ ซ้ำยังได้รับผลผลิตต่อปีด้วย” ไอชอง ทูล

“แต่ว่า คนที่มีที่นาเกินกว่า 3 พันซก จะตรวจทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ” แวยา ทูล

“จนวันนี้ ท่านยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่เราตรวจทรัพย์สินอีกหรือ...ที่นา 3 พันซก...ยิ่งต้องตรวจสอบ”

“องค์หญิง เพราะอะไร...”

“ถ้าไม่ตรวจสอบ...คงยากจะทำให้ศัตรูเกิด ความขัดแย้งได้” ชุนชู เดินเข้ามา

“หึ...ชุนชู...”

“จริงอยู่ที่ว่าทุกวันนี้มีคนที่ล่ำซำ ครอบครองที่นาเกินกว่า 3 พันซกขึ้นไป แต่คนเหล่านี้ ล้วนเป็นขุนนางที่ต่ำกว่าขั้น 6 บ้างก็เป็นแค่... คหบดีในท้องที่เท่านั้น”

“หึ...”

“การจะให้ผู้มีอันจะกิน มาเข้ากับองค์หญิงเป็นความคิดที่ดี แต่เราต้องรู้ว่าระหว่างผู้สนับ สนุน และคนที่คัดค้านมีผลประโยชน์มาจากทางไหนบ้าง ถึงจะบรรลุเป้าหมายที่จะกระจายกำลังของศัตรูได้...และยังมีผู้ทรงอิทธิพล ที่ไม่ยอมเข้ากับฝ่ายไหน แต่จะให้มาเข้ากับองค์หญิงต๊อกมาน เราก็ต้องสืบประวัติพวกเขาให้ชัดเหมือนกัน” ชุนชู กล่าว

เมื่อชุนชูมีโอกาสอยู่กับองค์หญิงต๊อกมาน ก็บอกกับนางว่าหากใครที่หวังจะได้ตัวตนเองไปเป็นพวกจะต้องยอมรับในสิ่งที่ตนเป็น รวมทั้งความเจ้าเล่ห์ ถึงจะร่วมงานกันได้

“ไม่เพียงแต่เจ้าคนเดียว คนอื่นที่อยู่กับข้าก็ล้วนมีข้อดีข้อเสีย บางคนก็โหดร้าย บางคนทะเยอทะยาน บางคนก็มีเป้าหมาย ทุก ๆ คน ล้วนต้องปรับตัวให้เข้ากับการทำงาน ทุกคนจะช่วย กันเกื้อหนุน ให้ข้าเป็นคนใหม่เหมือนกัน...สิ่งที่ข้าต้องทำก็คือ เป็นเบ้าหลอมอันใหญ่ ที่จะหล่อหลอมให้ทุกคนเข้ากันได้ ถ้าเจ้าคิดว่าเบ้าหลอมอัน นี้ยังทำงานไม่พอ ข้าก็ยอมให้เจ้าไปหาเบ้าหลอม อันใหม่ได้ทันที”

“ทรงคิดว่า...จะชนะนางได้หรือเปล่า แม่ ...แม่ของหม่อมฉัน...องค์หญิง...ชอนมยอง ฮือ... หม่อมฉันร้องไห้อยู่ทุกคืน ไม่รู้ว่าองค์หญิงเคยเสีย พระทัยบ้างหรือเปล่า...ฮือ...ฮือ...”

องค์หญิงต๊อกมานและพวกตัดสินใจสรุปการปฏิรูปเก็บส่วยที่ 5 พันซก จากนั้นก็ประกาศให้ขุนนางทั้งหลายรู้

“ปฏิรูปการเก็บส่วยหรือ” เซจอง ทูลถาม

“ทำได้ยังไง...ทำไมมีความคิดแบบนี้ นั่นสิ...ที่เก็บอยู่ก็ดีแล้วนี่นา...จะเปลี่ยนทำไมอีก...” พวกขุนนาง กล่าว

“ในสมัยพระเจ้าจินฮึง มีการจัดสรรที่ทำกินมากมายแบ่งให้ชาวบ้าน แต่ส่วนใหญ่ในนั้น กลับถูกขุนนางและเชื้อพระวงศ์ครอบครองแทน ซึ่งถือว่าผิดต่อเจตนารมณ์ของอดีตพระราชาหลาย พระองค์ ที่หวังให้ชาวบ้านได้กินดีอยู่ดี และเป็นเหตุให้ราษฎรของเรา นับวันจะยิ่งทุกข์ยากลำบากขึ้น” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส

“แล้วยังไง...เกี่ยวอะไรกับเราด้วย...นั่นสิ...”

“ส่วนการเก็บส่วย ยังคงเก็บในอัตราเดิมโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งถือว่าไม่ถูก...จะใช้ที่ 5 พันซกเป็นมาตรฐาน บ้านไหนมีที่ครอบครองมากกว่านี้ ต้องจ่ายส่วยให้ทางการเป็นสองเท่า การ ครอบครองที่ตั้งแต่ 5 พันถึง 7 พันซกจะเก็บส่วยเป็น 6 ส่วน”

“หา...ตั้ง 6 ส่วนเชียวหรือ...ตายล่ะ...”

“7 พันซกขึ้นไป ไม่เกิน 9 พันซกให้เก็บส่วย 7 ส่วน จาก 9 พันขึ้นไป จนถึงหมื่น 2 พันซก ให้เก็บส่วย 8 ส่วน”

“ล้อเล่น...เก็บตั้ง 8 ส่วนเชียว...มิต้องควักกระเป๋าแย่หรอกหรือ...นั่นสิ...ข้ามีตั้งเป็นหมื่น ๆ ซก...ข้ายิ่งจะจ้องฮุบที่อย่างเดียว...”

“ผู้มีที่ดินเกินกว่าหมื่น 2 พันซกขึ้นไป ...ต้องจ่ายส่วยให้ทางการ ในอัตรา 9 ส่วน”

“หา...โห...”

“เอ่อ...9 ส่วนเชียวหรือนี่ มีเหตุผลอะไรต้องเพิ่มขนาดนี้” ฮาจอง กล่าว

“ตรงข้าม ถ้าใครมีที่ในครอบครองต่ำกว่า 5 พันซก ให้ลดส่วยจาก 5 เหลือเพียง 3 ส่วน ส่วนชาวบ้านธรรมดาที่มีที่ตั้งแต่ 500 ถึง 5,000 ซก ให้จ่ายส่วย 2 ส่วน ใครมีที่ดินต่ำกว่า 500 ซก ให้จ่ายส่วยให้ทางการแค่ 1 ส่วนก็พอ”

“นี่แปลว่าจะลดส่วยให้ชาวบ้านและขุนนางระดับล่าง แต่เพิ่มภาระให้ชนชั้นปกครองระดับ สูงงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” มีเซ็ง ทูลถาม

“ใช่”

“ต่อไปจะให้กฎหมายฉบับนี้มีการเร่งใช้โดยเร็ว หวังว่าเมื่อเข้าสภาขุนนางแล้ว ทุกท่านจะ เห็นชอบตามนี้” พระเจ้าจินพยอง ตรัส

“มันเรื่องอะไร...มารีดส่วยตั้งขนาดนี้...ข้า ไม่ยอมหรอกนะ” พวกขุนนางกลุ่มหนึ่งกล่าว

“ดี ๆ...เห็นด้วย ๆ...ข้าจะได้จ่ายน้อยลง ...นั่นสิ...” พวกขุนนางอีกกลุ่มกล่าว

จุปังนำเรื่องการปฏิรูปการเก็บส่วยไปบอก พวกชาวบ้าน ทำให้พวกชาวบ้านดีใจและสนับสนุน องค์หญิงต๊อกมานเพราะต่อไปพวกตนเองจะได้อยู่ สบายขึ้น ด้านมีเซ็งไม่พอใจกับวิธีการขององค์หญิง ต๊อกมาน

“เฮ่ย...ป่านนี้ชาวบ้านกับขุนนางระดับล่าง คงได้เฮกันลั่น ขอให้องค์หญิงจงเจริญแล้ว” มีเซ็ง กล่าว

“องค์หญิงก็ไม่รู้นึกเพี้ยนอะไรขึ้นมา ทำ แบบนี้คือจะเป็นศัตรูกับพวกเราชัด ๆ ว่ามั้ย” ฮาจอง กล่าว

“จุ๊ ๆ ๆ”

“ไม่ใช่หรอก...เป้าหมายที่องค์หญิงทำแบบ นี้คือยุยงให้แตกแยก” ซอวอน กล่าว

“หา...แตกแยกยังไงกัน” ฮาจอง กล่าว

“จุดประสงค์คืออะไรล่ะ ก็เพื่อให้สองฝ่าย ที่ได้ผลประโยชน์เกิดความเห็นที่ขัดแย้งกัน”

“ซี้ด...เหมือนที่คุณชายชุนชูแต่งงานกับ โพยาง ทำให้ท่านเซจองกับท่านซอวอนเกิดหมางใจจนมองหน้าไม่ติดใช่ไหม” มีเซ็ง กล่าว

“ถูกต้อง แผนขององค์หญิงต๊อกมานก็คือ...สร้างรอยร้าวระหว่างขุนนางด้วยกัน เพื่อจะได้ กระจายกำลังพวกเราไปซะ”

“อ้อ...จากนโยบายเรื่องเก็บส่วย เชื่อว่าอาจทำให้ขุนนางบางคนพอใจ ถึงตอนนั้นเมื่อไหร่ ล่ะก็...”

“จะมีขุนนางบางส่วนที่ถูกชักจูงออกไป”

“ใช่ ดูเหมือนว่าองค์หญิงต๊อกมาน นับวันจะยิ่งทรงฉลาดมากขึ้น” ซอวอน กล่าว

พวกองครักษ์ส่วนหนึ่งไม่พอใจกับวิธีการขององค์หญิงต๊อกมาน

“แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องปล่อยให้เลยตามเลยซะงั้น” โพจอง กล่าว

“เอ่อ...แต่ว่า คนที่มีทรัพย์สินมากมาย ให้จ่ายส่วยเพิ่มขึ้นอีกซักหน่อย ข้าไม่เห็นว่ามันจะ ไม่ยุติธรรมตรงไหนน่ะนะ”

“นี่แปลว่าเจ้า เห็นด้วยกับองค์หญิงที่ทรง คิดนโยบายนี้หรือ” องครักษ์ อีกคนกล่าว

“ก็ไม่ถึงขนาดเห็นด้วย เพียงแต่เห็นว่าถูกหลักการเลยพูดตามเนื้อผ้า จริงหรือเปล่าท่านซกพุง ได้ยินว่าท่านก็เข้าข่ายได้รับการลดส่วยด้วย นี่นา”

“ถึงจะดีก็เถอะ แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การลดส่วย ก็จะทำให้ทุกฝ่ายพอใจได้” ซกพุง กล่าว

“นั่นสิ องค์หญิงชอบเจ้ากี้เจ้าการ อยู่ดี ๆ ให้ลดส่วย เพิ่มภาระให้ขุนนางระดับสูง เท่ากับเป็น การขูดรีดชัด ๆ”

“แต่ขุนนางบางส่วนก็ได้รับผลประโยชน์นี่”

“เจ้าพูดอะไร มีหัวคิดหรือเปล่า”

“เฮ่ย...”

โฮแจมาขอให้ผ่านความเห็นชอบ เกี่ยวกับ กฎหมายปฏิรูปการเก็บส่วย

“อะไรนะ นี่เจ้าบ้าแล้วหรือไง” ฮาจอง ถาม

“พ่อข้าก็เห็นด้วย และให้มาเรียนท่านตาม นี้น่ะครับ” องครักษ์ คนหนึ่งกล่าว

“ว่ายังไง” เซจอง ถาม

“ที่แล้วมา ถ้าเป็นงานของท่าน เราได้ให้ความช่วยเหลือไม่น้อยน่ะครับ”

“พูดงี้หมายความว่าไง แปลว่าถ้าเราไม่ผ่านกฎหมาย ต่อไปก็ทางใครทางมันงั้นหรือ” ฮาจอง ถาม

“เอ่อ...”

“เราบอกแล้วว่า นี่คือการขอความเห็นใจ” โฮแจ กล่าว

“หา...เห็นใจหรือ เฮอะ...”

ยองชุนเข้าเฝ้าพระเจ้าจินพยองทูลรายงาน ว่าตอนนี้เหล่าขุนนาง ได้เกิดความเห็นแตกแยกเป็นสองฝ่ายแล้ว

“เพราะผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัวระหว่างขุนนางที่ต่างระดับชั้น ทำให้แม้แต่ในวังก็เกิดบรรยากาศอันตึงเครียดด้วย” พระเจ้าจินพยอง ตรัส

“ใช่ จุดประสงค์ขององค์หญิง นับว่าใกล้ จะบรรลุผลแล้ว” คิมซอยอน ทูล

“แต่ว่า แม้ขุนนางระดับกลางจะเห็นด้วยกับนโยบายนี้ แต่กว่าจะเข้าที่ประชุมคิดว่าขุนนางระดับสูงจะเห็นด้วยหรือเปล่า”

“ความจริงเราก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะผ่านแน่นอน”

“ถ้าอย่างงั้น...” พระมเหสีมายา ตรัส

“มี 8 คนที่คัดค้าน ในขณะที่หม่อมฉันกับท่านซอยอนเห็นด้วย ญัตติคงจะตกไป แต่แม้ว่าจะไม่ผ่าน ขุนนางที่คัดค้านเรื่องนี้ อีกไม่ นานจะเกิดความบาดหมางกับขุนนางระดับล่างและชาวบ้านอย่างแน่นอน” ยองชุน ทูล

“ที่จริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฝ่ายไหนเห็นด้วย ฝ่ายไหนที่จะคัดค้าน ไม่ต้องประชุมก็รู้อยู่แล้ว”

“และถ้าค้านจนเรื่องนี้ตกไป เท่ากับเผย ความเห็นแก่ตัวของขุนนางระดับสูง ให้ชาวบ้าน ได้ตาสว่างรู้ว่าใครที่ทำเพื่อบ้านเมืองจริง ๆ”

“ใช่แล้ว” พระเจ้าจินพยอง ตรัส

พีทัน นำจดหมายมาให้คิมยูซิน เพื่อนำ ถวายแก่องค์หญิงต๊อกมาน

“เขียนว่าไงบ้าง” คิมยูซิน ตรัสถาม

“หึ...ท่านจูจินบอกว่าอยากพบข้าซักครั้ง”

“ท่านจูจินคนนี้ กุมกำลังทหารไว้หลายพันคน เท่ากับครอบครัวชนชั้นสูง 5 พันครอบครัว แถมยังอยู่ใกล้เมืองหลวงที่สุด มีกำลังที่พร้อมอยู่ตลอด” ไอชอง ทูล

“ที่สำคัญยังมีขุนนางอีกหลายฝ่ายที่จะร่วมสังเกตการณ์ ต่างก็สนใจเรื่องนี้มาก” คิม ยูซิน ทูล

มีเซ็ง ไม่พอใจที่มีซิลนั่งเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อน

“ข้างนอกใครต่อใครกำลังถกเถียง ต่างก็ไม่ยอมลดราวาศอกให้แก่กัน เฮ่ย...” ฮาจอง กล่าว

“นั่นสิ ถึงขนาดมีคนบอกว่าไม่ต้องเข้าที่ประชุม ให้ประกาศใช้เลยสิ้นเรื่อง” เซจอง กล่าว

“ต๊อกมานนี่ ช่างเป็นเด็กฉลาดที่สอนแล้วรู้จักต่อยอดไปไกลนัก...ขุนนางที่ให้มาคุยเป็น การส่วนตัว ได้มาพบแล้วหรือยัง” มีซิล กล่าว

“ครับ ทุกคนมาพบหมด แต่ละคนก็เริ่ม มีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป” ซอวอน กล่าว

“ท่านแม่ ขืนเป็นแบบนี้ ฐานอำนาจของ เรามิถูกสั่นคลอนหรอกหรือครับ....ท่านแม่ ทำไม ไม่ยอมพูดอะไรซักคำล่ะครับ” ฮาจอง กล่าว

“พี่ใหญ่ ขืนปล่อยไว้ เราจะถูกผู้คนประณามหาว่าเห็นแก่ตัวนะ” มีเซ็ง กล่าว

“ใช่ ไม่ควรปล่อยให้เป็นแบบนี้ ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่ต้องแบกรับเสียงประณามของชาวบ้าน เพราะฉะนั้นถึงวันประชุมเมื่อไหร่ให้ทุกคนลงมติเห็นชอบด้วย”

“หา....อะไรนะ บอกให้เราเห็นชอบด้วยหรือ”

“ฮูหยิน ทำไมถึงให้....” เซจอง ถาม

“ล้อเล่นน่า ท่านแม่ เพราะอะไรถึงบอกให้เรา...” ฮาจอง กล่าว

“ภายในวันนี้ ให้ท่านพี่ไปหาใต้เท้า “ซูอุย” ท่านซอวอนไปหาท่าน “จินชุน” มีเซ็งไปหาท่าน “ซินโพ” ส่วนฮาจองไปหาท่าน “ซุงซิน”....จากนั้นเอาจดหมายไปมอบให้.... ทุกคน... จะต้องมอบให้กับมือพวกเขา และรอฟังคำตอบภายในคืนนี้ นั่งเฉยทำไมล่ะ ไม่รีบไปทำงานอีก” มีซิล สั่ง

เช้าวันรุ่งขึ้นมีการประชุมเหล่าขุนนาง

“เกี่ยวกับข้อเสนอขององค์หญิง ที่จะเปลี่ยนระบบการเก็บส่วย ซึ่งเป็นที่รับทราบโดยทั่วกันแล้วนั้น วันนี้จึงมีการประชุมเพื่อจะลงมติเกี่ยวกับเรื่องนี้....จากการที่ทุกท่านคิดมาหลายวัน เรื่องนี้คงไม่ต้อง....มีการถกเถียงอีก แต่ให้แสดงความเห็นชอบได้เลย ทุกท่านแค่บอกว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โดยการโยนแผ่นไม้ออกมาข้างหน้าก็พอ เห็นด้วย 9 เสียง” เซจอง กล่าว

“อ้าว....ทำไม 9 เสียงล่ะ....นึกว่าเห็นด้วยหมด....” พวกชาวบ้าน กล่าว

“9 เสียงหรือนี่” ไอชอง กล่าว

“แย่จริง....9 เสียงก็มีปัญหา....แสดงว่าไม่เป็นเอกฉันท์....นั่นสิ....” พวกชาวบ้าน กล่าว

“คัดค้าน 1 เสียง ตามที่กฎหมายกำหนดว่าญัตติใด ๆ ต้องเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ แสดง ว่าเรื่องนี้ให้กลับไปทบทวนแล้วค่อยว่ากันใหม่” เซจอง กล่าว

“อ้าว....ไหงงั้นล่ะ....นึกว่าจะผ่านแล้วเชียว....แย่จริง....ดันมีหนึ่งเสียงคัดค้าน...” พวกชาวบ้าน กล่าว

“เห็นด้วย 9 เสียง มีขุนนางคนเดียวที่คัดค้าน แปลว่าคนอื่นเห็นด้วยหมดสิ” ไอชอง กล่าว

“เราหลงกลแล้ว จริง ๆ คือคัดค้านนั่นแหละ แต่เพื่อไม่ให้ชาวบ้านและขุนนางระดับล่าง ตำหนิพวกเขามากนัก เป็นแผนของมีซิลอีกแล้ว” คิมยูซิน กล่าว

เมื่อญัตติที่ประชุมออกมา องค์หญิงต๊อกมาน จึงขอแสดงความเห็น

“หือ....แสดงความเห็นหรือ....จะทำอะไรอีก”

“ญัตติที่ตกไปแล้ว จะไม่มีการนำมาพูดซ้ำอีก นี่คือกฎของสภาขุนนางพ่ะย่ะค่ะ” เซจอง ทูล

“ที่ข้าพูดถึง ไม่ใช่ญัตติที่ตกไปเมื่อกี้.... แต่คือการลงมติในสภาขุนนาง น่าจะให้ถือเสียงข้างมาก ไม่จำเป็นต้องเป็นเอกฉันท์”

“เอางั้นหรือ....ก็ดีนะ....ไม่ต้องเห็นด้วยหมดหรอก....”

“การแสดงความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ เป็นธรรมเนียมของเรามานาน องค์หญิงจึงไม่สมควรจะมาเปลี่ยนกฎง่าย ๆ” เซจอง กล่าว

“ทุกวันนี้กฎหมายแต่ละมาตรากว่าจะออกได้ ต้องให้สภาขุนนางเห็นชอบเป็นเอกฉันท์จึงจะนับว่ามีผล ขนาดองครักษ์ซึ่งเป็นเสาหลักของชิลลา ก็ยอมรับมติที่ออกจากเสียงข้างมาก หรือแม้แต่การเลือกขุนนาง ก็ใช้เพียงเสียงข้างมากก็พอ สุดท้ายมีเพียงสภาขุนนางที่ยึดติดกับเสียงเอกฉันท์ หากสิ่งใดที่ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของพวกท่าน ญัตตินั้นก็จะไม่ผ่านหรือให้ตกไปทันที....ประเด็นนี้ ถือเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการพัฒนาบ้านเมือง เป็นเพียงเครื่องมือให้ขุนนางระดับสูงไว้หาประโยชน์ใส่ตัว ข้าจึงเสนอว่า ต่อไปไม่ว่าจะยื่นญัตติเรื่องอะไรก็ตาม ให้ใช้เสียงข้างมากก็พอ” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส

“ข้าเห็นด้วย”

“ใช่แล้ว องค์หญิงรับสั่งถูกต้อง”

“ใช่ ๆ....เราก็เห็นด้วย....เราสนับสนุนองค์หญิง....เราก็เห็นด้วย...” พวกชาวบ้านตะโกน





..............จบตอนที่ 43............