Queen Seon Deok ( 善德女王/ 선덕여왕)
เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 43
Cr. : Dailynews Online
องค์หญิงต๊อกมานตรัสกับชุนชูว่าต่อไปจะต้องร่วมมือกัน และตนจะเป็นคนรับมือกับมีซิลเอง
“หึ....ไม่แน่องค์หญิงอาจจะตีความผิด หรือไม่ก็....มีซิลเกิดเสียสติขึ้นมาก็ได้ หึ....นางไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ ที่สำคัญเกิดในตระกูลต่ำต้อยด้วย” ชุนชู กล่าวทูล
“แต่เพราะเจ้า....บอกว่าการสืบสันตติวงศ์แบบเดิมเป็นความล้าหลัง ทั้งที่เจ้าเองก็ไม่มีสิทธิจะพูดอย่างงั้น”
“ถ้าอย่างงั้น แล้วมีซิล....ถือสิทธิอะไรที่จะครองราชย์ได้”
“หลายปีมานี้ นางเป็นคนเดียวที่กุมอำนาจการปกครอง....จะด้วยวิธีไหนคงไม่มีใครคิด เมื่อมาถึงระดับนี้ ก็ย่อมมีคนเทิดทูนไม่น้อย”
“ถ้าองค์หญิงทรงเห็นด้วยกับนาง งั้นก็หลีกทางให้นางละกัน” ชุนชู กล่าวทูล
“ไม่ได้ นางเป็นคนเก่งก็จริง แต่ถือเป็นภัยร้ายสำหรับแคว้นชิลลา....เพราะไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น นางจะให้ความสำคัญกับอำนาจมาก กว่าสิ่งอื่นใดเสมอ แต่ว่าถ้าเป็นข้าครองราชย์บ้าง ข้าจะสร้างรากฐานให้มั่นคง นั่นก็คือราษฎรของเรา...แม้ว่าทุกวันนี้ ข้าจะมีกำลังน้อยกว่า แถมความสามารถก็ไม่โดดเด่นเท่ามีซิลก็ตาม แต่ว่า นั่นก็คือเหตุผลที่ข้าอยากครองราชย์....เราสองคน รวมกับราชสำนักและเผ่าคาย่าของท่านยูซิน ความกว้างขวางของท่านไอชอง กำลังทั้งหมดเหล่านี้จะรวมเข้าด้วยกัน ฉะนั้นถึงบอกว่าเจ้ามาอยู่กับข้าดีกว่า ตอนนี้เจ้าต้องตัดสินใจแล้ว”
ไอชองทูลถามองค์หญิงต๊อกมานเรื่องที่มี ซิลจะออกโรงเอง องค์หญิงต๊อกมานยืนยันว่าคงจะเป็นอย่างนั้น คิมยูซินจึงทูลถามเรื่องคุณชายชุนชู
“เฮ่อ...เป็นเด็กที่ถือดีเกินไป แต่ก็เชื่อว่าเขาคงไม่หลงผิดอีก พ่อค้าที่ชื่อยอจงนั่น เจ้าไปรู้จักได้ไง” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส
“เมื่อก่อนเคยช่วยอาจารย์หม่อมฉันทำงาน” พีดัม ทูล
“เขากับชุนชู เพิ่งมารู้จักตอนอยู่ชิลลาหรือ”
“ไม่ใช่ รู้จักก่อนหน้านั้น ดูเหมือนตั้งแต่สมัยอยู่เมืองสุย และเขาก็รู้นิสัยคุณชายชุนชูมาก กว่าใคร”
“งานของท่านมุนโน ส่วนใหญ่เขาจะช่วยในด้านไหน”
“เขาเป็นคนกว้างขวาง สามารถหาข่าวได้หลายทาง ทั้งโกคูรยอ แพ่กเจ และเมืองสุย หรือแม้แต่ในชิลลา ก็มีสายสืบอยู่เยอะที่พร้อมจะหาข่าวให้เขาได้”
ต๊อกมาน “พอจะไว้ใจได้หรือเปล่า”
“ก็....พอได้มั้ง ถ้า....ไม่ไปเข้มงวดกับเขามากนัก อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อเขา ก็พอไว้ใจ ได้บ้าง”
“ความสามารถล่ะ” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส
“ข้อนี้รับประกันได้ อาจารย์ถึงไว้ใจเขา ให้ช่วยทำงานหลายอย่าง”
“ทรงคิดอะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ” คิมยูซิน ทูลถาม
“นั่นสิ มีซิลคิดยังไงกันแน่ ทรงบอกให้เรารู้เถอะ” ไอชอง กล่าวทูล
“จริง ๆ ไม่ใช่ความคิดของนาง แต่ข้า กับชุนชู ช่วยกันทำลายกำแพงที่นางไม่กล้าที่จะก้าวข้าม”
“เกี่ยวกับเรื่องเพศหญิง และความเป็นเชื้อพระวงศ์ใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ” คิมยูซิน ทูลถาม
“ใช่ เป็นสิ่งที่นางไม่กล้าอาจเอื้อม แม้จะครองอำนาจมานาน ก็ไม่กล้าใฝ่ฝันถึง แต่นี่กลายเป็นว่า เรากำลังสร้างกฎใหม่ขึ้นมา”
“เพราะฉะนั้น นางก็จะขอเป็นรัชทายาท บ้าง” ไอชอง ทูลถาม
“ใช่ เพราะนางก็มีผลงานมาก ไม่ว่าด้านไหน ๆ ก็ไม่แพ้ใครเลย”
“ที่สำคัญ แม้ตอนนี้นางจะไม่อ้างบัญชาสวรรค์อีก ก็ยังทรงอิทธิพลมากกว่าใครในแคว้น”
“อึม....แถมยังครอบคลุมทุกด้าน ไม่มีเสื่อมถอย”
“ที่สำคัญกว่านั้นคือ นางเป็นคนที่ไม่ยอมละทิ้งความฝันตัวเองง่าย ๆ....เพราะฉะนั้น ในเมื่อเป็นพระมเหสีไม่ได้ งั้นก็สู้....”
“ครองราชย์เองซะเลย” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส
“เฮ่อ....ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ช่างเป็นมนุษย์ที่รับมือยากจริง ๆ”
“เมื่อก่อนที่องค์หญิงประกาศจะครอง ราชย์ ก็ทำให้พวกเราเกิดความฮึกเหิมอย่างมากแล้ว เหมือนกับมีซิลตอนนี้ ยิ่งเป็นผู้หญิงก็ยิ่งส่งผลได้มาก”
“ถ้านางใช้อิทธิพลขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง ยังไม่ทำให้เราลำบากเท่าไหร่ แต่นี่กลายเป็นว่าตัดสินใจออกหน้าเอง เพื่อจะทำลายแผนยุยงของชุนชูให้ย่อยยับ ตอนนี้แม้ท่านเซจองกับซอวอนจะทะเลาะเบาะแว้ง แต่สุดท้ายก็ต้องปรองดองจนได้” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส
มีเซ็งตกใจที่รู้ว่ามีซิลคิดที่จะขึ้นครองราชย์ด้วยตนเอง จึงสอบถามซอวอน
“แต่ไหนแต่ไรข้าคือคนที่อยู่ข้างท่านเซจูตลอด....แม้ว่าสมัยก่อน ข้ามักรู้สึกน้อยใจที่ตัวเองเกิดมาต่ำต้อยและไม่กล้าหวังสูงกว่านี้ แต่ว่า นางกลับทำให้ข้าเรียนรู้หลายอย่าง และเราสองคนก็ค่อย ๆ เติบโตกันมา....ความฝันของนาง ก็คือความฝันของข้าด้วย”
“แต่ว่า ถึงท่านแม่จะเก่งกาจยังไง นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกนะ” ฮาจอง กล่าว
“นางคิดแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง....ความฝันที่จะครองราชย์ เป็นสิทธิของผู้ชายเท่านั้น นางเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอกว่า จะมาเหนือกว่าเราได้ยังไง....ถ้าเรายอมให้ตามใจนาง ยังถือเป็นลูกผู้ชายอีกหรือ” เซจอง กล่าว
“นี่เป็นสิ่งที่ยาก แต่เราก็ต้องทำให้ได้” ซอวอน กล่าว
“เฮ่อ ๆ ๆ ๆ หึ...ใช่ คงต้องทำใจ...เฮ่อ ....ถ้าอย่างงั้น ข้าก็แล้วแต่นางเหมือนกัน”
“เฮอะ....เฮ่อ ๆ ๆ เฮ่อ ๆ ๆ บอกแล้วว่าพี่สาวข้าคนนี้ ไม่เหมือนผู้หญิงอื่นทั่วไป เฮอะ...เฮ่อ ๆ ๆ” มีเซ็ง กล่าว
“เรื่องนี้ ใคร ๆ ก็รู้อยู่ ไม่ต้องบอกหรอกครับ แต่นางจะทำได้สำเร็จหรือ”
องค์หญิงต๊อกมาน เชื่อว่ามีซิลไม่มีทางจะใช้ทหารในการก่อการ แต่นางจะต้องเกลี้ยกล่อมใต้เท้ายีซอ ท่านชุยบู, ท่านมุนโน ให้ทุกคนเห็นชอบด้วยเหตุผล จากนั้นค่อยก่อการโดยไม่ให้เสียเลือดเนื้อ
“และเวลาจะใช้ทหาร นางก็มีเหตุผลไปอธิบายให้ทุกคนฟัง” คิมยูซิน กล่าวทูล
“เพราะสาเหตุนี้ ตลอดเวลาที่นางครองอำนาจในชิลลา บารมีที่สั่งสมไว้จึงเป็นที่เกรงขาม และไม่มีใครกล้าหือ” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส
ซอวอนเห็นว่ามีซิลมีข้อได้เปรียบที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ จึงจะใช้จุดเด่นนี้ในการวางรากฐาน และเตรียมที่จะเสนอชื่อในที่ประชุมขุนนาง
“ขนาดองค์หญิงยังคิดเป็นได้ แล้วทำไม พี่ใหญ่จะคิดบ้างไม่ได้ ถ้าจะเป็นราชินีจริง ชื่อของพี่ใหญ่ยังเป็นที่เชื่อถือมากกว่า” มีเซ็ง กล่าว
“เฮ้....ถึงอย่างงั้นก็เถอะ เมื่อก่อนท่านแม่ก็เคยบอกไว้ เพราะเราไม่คิดครองราชย์ ใครต่อใครถึงมาสวามิภักดิ์ แล้วตอนนี้บอกว่าจะครองบัลลังก์ ใครจะรู้ว่าเหล่าขุนนางคิดยังไงบ้าง” ฮาจอง กล่าว
“สงสัยว่า จะเอาอย่างสมัยพระเจ้าจินจิ ถอดถอนพระราชาองค์นี้หรือเปล่า” มีเซ็ง กล่าว
“พระเจ้าจินจิ มีข้อบกพร่องหลายอย่างที่ทุกคนต่างก็เห็นด้วย” เซจอง กล่าว
“ใช่ แต่พระราชาองค์นี้ ยังไม่มีอะไรให้ตำหนิเด่นชัด” ซอวอน กล่าว
“ถ้าอย่างงั้น ก็เอาอย่างสมัยพระเจ้าจินฮึงก็ได้นะ” มีเซ็ง กล่าว
“ปลอมราชโองการหรือไม่ก็ลอบปลงพระชนม์” ฮาจอง กล่าว
“บังอาจ พูดจาให้ระวังปากซะบ้าง” เซจอง ต่อว่า
“นั่นเป็นเพราะว่า ตอนนั้นเราต่างเป็นคนสนิทของพระเจ้าจินฮึง ถึงมีโอกาสลงมือ” ซอวอน กล่าว
“เอาน่า แล้วมันยังไงกันแน่ จะเอาไงก็พูดมาซี่” ฮาจอง กล่าว
“คงต้อง....ใช้วิธีจู่โจมซึ่งหน้า” มีเซ็ง
“จู่โจมซึ่งหน้ายังไง” เซจอง ถาม
“ก็ให้สภาขุนนางเห็นชอบซะ วิธีนี้จะทำให้พี่ใหญ่ดูมีศักดิ์ศรี และมีความเป็นไปได้สูง” มีเซ็ง กล่าว
“ใช่ ข้าก็คิดอย่างงั้นเหมือนกัน แต่ฮาจองพูดก็ถูก ไม่รู้ว่าขุนนางอื่นจะคิดยังไง” ซอวอน กล่าว
องค์หญิงต๊อกมานและพวกประเมินกันว่าคงมีขุนนางจำนวน มากที่ไม่อยากให้มีซิล ได้ครองราชย์ กลายเป็นราชินีของพวกเขา องค์หญิงต๊อกมาน เห็นว่าการตัดสินใจของมีซิลครั้งนี้ ดูผิวเผินเหมือนจะได้เปรียบกว่าคนอื่น แต่จริง ๆ แล้ว อาจจะสามารถกำจัดนางได้ง่าย ๆ เพราะในที่สุดผู้หญิงคนนี้ ก็เผยธาตุแท้ออกมา จากนั้นก็สอบถามคิมยูซินถึงงานที่สั่งให้ทำ พร้อมสั่งให้วางแผนให้รอบคอบ รัดกุมให้มากที่สุด
องค์หญิงต๊อก มานเสนอปรับโครงสร้างการเก็บส่วยใหม่ ต่อพระเจ้าจินพยอง โดยยองชุนเป็นคนวางระบบ ซึ่งจะทำให้เก็บส่วยได้มากขึ้น แต่พระเจ้าจินพยองคิดว่าเหล่าขุนนางคงไม่เห็นชอบง่าย
“เพคะ ไม่ใช่เรื่องง่ายจริง ๆ เพราะมันคือ การต่อรอง ระหว่างราชสำนักกับขุนนางที่ยืดเยื้อมาหลายสิบปี และหม่อมฉันก็อยากให้มีข้อยุติ”
“ถ้าอย่างงั้น เป้าหมายที่จะปรับโครงสร้างการเก็บส่วยคืออะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” คิมซอยอน ทูลถาม
“ก่อนอื่นคือให้ราษฎรเข้าใจว่าสิ่งที่ทางการทำเพื่อพวกเขาและต่อรองมานาน มีผลประโยชน์ยังไงบ้าง”
“แล้วข้อสองล่ะ ยังมีข้อดีอะไรอีก” พระเจ้าจินพยอง ตรัสถาม
“เป็นการสันนิษฐานของหม่อมฉัน....มีซิล ....กำลังวางแผนจะครองราชย์ซะเอง”
“หา....หม่อมฉันไม่เข้าใจที่องค์หญิงรับสั่ง” ยองชุน กล่าวทูล
“เดี๋ยวก่อน นางไม่สนับสนุนชุนชูอีกแล้ว แต่จะครองราชย์เองงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส
“หึ....”
“เพราะฉะนั้น เป้าหมายที่เราจะปรับโครงการเก็บส่วยก็คือ ลดบทบาทความสำคัญของมีซิลลงซะ และเราต้องทำให้ได้ด้วย”
เมื่อองค์หญิงต๊อกมานเสด็จกลับมาก็เข้าไปดูการทำงานของพีดัม
“ทำงานถึงไหนแล้ว”
“จากความช่วยเหลือของยอจง ได้ข้อมูลขุนนางมาร้อยกว่าคน กำลังดูอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เฉพาะขุนนาง ยังรวมถึงคู่ครองลูกหลาน ญาติพี่น้องที่ใกล้ชิด รวมถึงความสัมพันธ์กับแคว้น แพ่กเจและโกคูรยอ ก็ต้องตรวจให้ละเอียดด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันกำลังทำอยู่”
“ที่สำคัญ เราจะไม่ดูแค่ขุนนางฝ่ายเดียวคหบดีที่มีอิทธิพลในท้องที่ หรือหน่วยงานองค์กรที่ทำงานอย่างลับ ๆ ก็รวบรวมมาด้วยและตรวจสอบให้ละเอียด”
“พ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันรับผิดชอบเรื่องนี้อยู่แล้ว ทรงวางพระทัยได้”
“แต่ก่อนที่เราจะเปิดเผย ห้ามบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้เด็ดขาด ต้องปิดเป็นความลับสุดยอดล่ะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้ว่าท่านมีงานยุ่ง แต่ก็มีอีกงานหนึ่งอยากให้ทำ เครื่องเสวยและยาของฝ่าบาท ต้องมีคนดูแลให้ดี ท่านช่วยไปจัดการด้วย”
“เพราะอะไร” ไอชอง ทูลถาม
“หรือว่า....” คิมยูซิน กล่าวทูล
“ใช่ กันไว้ดีกว่าแก้ ในเมื่อมีซิลกลับมาเราก็ต้องรอบคอบ เตรียมการป้องกันเอาไว้”
“ทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ซอวอนมาบอกเซจอง มีเซ็งว่าจะมีการเรียกขุนนางไปพบทีละคนเพื่อถามความเห็นต่อการตัดสินใจของมีซิล
“เมื่อท่านเซจูประกาศตัวจะเป็นรัชทายาท เราก็ต้องประเมินพวกที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย รวมถึงคนที่วางตัวเป็นกลาง” เซจอง กล่าว
“ใช่ เราต้องประเมินความเป็นไปได้ทุกอย่างที่จะเกิด” ซอวอน กล่าว
“แต่ขุนนางที่เป็นฝ่ายเรา ส่วนใหญ่ก็อาศัยอยู่ในเมืองหลวงไม่ใช่หรือมี 35 สายสกุลที่ครอบครองที่กว่า 2 หมื่นซกขึ้นไป คนพวกนี้เราจะชี้นกเป็นไม้ก็ยังได้” มีเซ็ง กล่าว
“ที่แน่ ๆ มี 25 สายสกุลที่เป็นญาติกับเรา” ฮาจอง กล่าว
“นอกจากนี้ ยังมีคหบดีอีก 300 กว่ารายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้าหรือการเมืองก็ตาม ไม่รวมถึงบรรดาเศรษฐีรายเล็กรายน้อย และเจ้าถิ่นที่มีอิทธิพลในท้องที่ จุ๊ ๆ ตัวเลขสนับสนุนมีไม่น้อย แต่ว่าเอาเข้าจริงอาจไม่มีประโยชน์มากนัก”
“แต่ว่า ถึงจะไม่มีประโยชน์ แต่ถ้าพวกเขาไม่เห็นด้วยกับเราก็เป็นปัญหาเหมือนกันถ้าเข้าใจเจตนาของเราผิดไป ก็มีสิทธิไปเข้าข้างองค์หญิงให้เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบได้” ฮาวอน กล่าว
“อึม....ถ้าจำเป็นจริง ๆ ก็ต้องผูกมัดพวกเขาเอาไว้”
“อึม....งั้นก็ไม่เห็นยากนี่ครับ ข้ายังมีลูก ที่ไม่แต่งงาน....8 คน ท่านน้าล่ะ มีลูกที่ยังไม่แต่งงานอยู่กี่คน” ฮาจอง ถาม
“ลูกที่ยังไม่แต่งงานหรือ เดี๋ยวก่อนขอนึกดูก่อน....”
“โธ่เอ๊ย....เป็นพ่อประสาอะไรกัน ลูกกี่คนที่ยังโสดทำไมจำไม่ได้ล่ะครับ”
“ก็มันเยอะจนจำไม่ไหวนี่นา” มีเซ็ง กล่าว
“ยังไงก็ช่าง เอาคนที่เหลือมาจับคู่ให้หมด ใช้การแต่งงานเกี่ยวดองเป็นญาติซะ วิธีนี้ง่ายที่สุด เฮ่อ ๆ ๆ”
“ใช่ เป็นวิธีที่ง่าย ที่จะให้พวกเขาไม่กล้าแปรพักตร์” ซอวอน กล่าว
“นั่นสิครับ ทำไมนับวันข้ายิ่งฉลาดก็ไม่รู้ น่าจะไปบอกให้ท่านแม่รู้ด้วย ว่ามั้ย เฮ่อ ๆ” ฮาจอง กล่าว
“แค่นี้ก็ดีใจแล้วหรือ ไอ้แผนตื้น ๆ นี่น่ะ แหะ ๆ ๆ หึ ๆ” มีเซ็ง กล่าว
มีซิล ถามชิซูว่าคิดอย่างไรกับเรื่องที่นางเสนอตัวเองขึ้นครองราชย์เพราะชิซูเป็นคนแรกที่รู้ความคิดของนาง
“หน้าที่ของข้าคือการรับใช้....ข้าไม่มีอะไรให้ห่วง ไม่เคยหวังลาภยศใด ๆ....อะไรที่เป็นความหวังของท่าน นั่นคือเป้าหมายสูงสุดในชีวิตข้าด้วย”
“แปลกจริง ฟังเหมือนการประชดยังไงไม่รู้”
“ข้ามิบังอาจ” ชิซู กล่าว
“ถึงโทษข้าก็ไม่มีประโยชน์ เพราะทุกคนที่มาเกี่ยวข้องกับข้าล้วนแต่หวังอะไรบาง อย่าง นอกจากเจ้าที่ยอมอยู่กับข้าโดยไม่หวัง อะไรเลย...ต้องโทษข้าที่คิดช้าไปหน่อย ถ้าสิบปีก่อนมีความคิดแบบนี้ละก็...”
“ท่านเซจู...ข้าให้คนไปซาวเสียงเหล่าขุนนางเกี่ยวกับเรื่องของท่าน” ซอวอน เข้ามา
“ดีแล้ว ท่านทำดีมาก แต่ว่าข้าจะไม่ไป ร่วมแก่งแย่งในตำแหน่งรัชทายาท...แต่ถึงอย่างงั้น การฟังความคิดเห็นคนอื่นก็เป็นผลดีต่อฝ่ายเรา เพราะฉะนั้นท่านจงทำต่อไป” มีซิล กล่าว
“ว่าแต่...จะทำไงกับชุนชูดีครับ” ซอวอน ถาม
“ชุนชูหรือ”
ยอจง เข้ามารายงานคุณชายชุนชูว่า องค์หญิงต๊อกมานจะเปลี่ยนระบบในการเก็บส่วยใหม่ จึงให้ข้ารวบรวมรายชื่อและประวัติคน ที่มีที่ดินในครอบครองไว้ ชุนชูคิดว่าองค์หญิงจะเอาอย่างตน จากนั้นก็เดินทางไปพบมีเซ็ง
“ทุกท่านสบายดีหรือ ไม่นึกว่าจะมาอยู่พร้อมหน้า”
“ท่านมาก็ดีแล้ว เรากำลังอยากพบอยู่พอดี” โพจอง กล่าว
“ต่อให้เป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อนอยากมีคู่ไว ๆ แต่ยังไงก็เป็นพระนัดดา แต่งงานทั้งที น่า จะจัดให้มีหน้ามีตาหน่อยนะ เฮ่อ ๆ” เซจอง กล่าว
“ก็นั่นน่ะซี้ งานใหญ่ของบ้านเราแท้ ๆ จะทำรวบรัดได้ยังไงจริงมั้ย” มีเซ็ง กล่าว
“ที่สำคัญคือ ว่าที่รัชทายาทคนใหม่ของ เราด้วย เหล่าขุนนางก็เลยบ่นกันพึม เฮ่อ ๆ ๆ” ฮาจอง กล่าว
“หึ...ใช่ ว่าแต่ตอนนี้ท่านมีซิล รู้มั้ยว่าอยู่ไหน” ชุนชู ถาม จากนั้นก็ไปหามีซิล
“ช่วงที่ข้าไม่อยู่ ได้ยินว่าแต่งงานแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย...ถ้าตอนนี้องค์หญิงชอนมยอง...ได้เห็นเข้าคงจะปลื้มพระทัยนัก... แต่มาคิดอีกที เราสองคน...ก็เหมือนมีวาสนาผูก พันกันอยู่...เสด็จปู่ของคุณชาย อดีตพระราชาจินจิ และพ่อของคุณชายคือท่านยองซู...เสด็จแม่ของคุณชาย องค์หญิงชอนมยอง...ล้วนแต่ตายเพราะ ข้าทั้งนั้น...เป็นเพราะอะไร...นั่นเพราะพวกเขาจะ ใช้ความเป็นเชื้อพระวงศ์มาข่มเหงข้าให้ดูต่ำต้อย ...แต่แม้ว่าคิดจะเอาชนะข้า พวกเขาไม่ได้ทุ่มเทความสามารถให้สมกับการต่อสู้....นี่แหละคือโฉม หน้าแท้จริงของการช่วงชิง ไม่ใช่แอบอยู่ข้างหลังใช้สมองคอยปั่นหัวคนอื่น ชั่วชีวิตข้าหวังจะเป็น พระมเหสีจึงปูทางไว้อย่างครบถ้วน ทั้งชีวิต และ จิตใจ ทุ่มให้กับเป้าหมายนี้โดยไม่เคยเปลี่ยน...ต่อให้เพลี่ยงพล้ำก็ไม่กลัว จะกัดฟันสู้ต่อ ยังไงก็จะเอาคืนเหมือนองค์หญิงต๊อกมานที่ยอมเอาชีวิตเข้า แลก คนที่คิดว่าจะมาต่อกรกับข้า มีเพียงสองทาง ให้เลือก ก็คือสู้ด้วยชีวิต หรือไม่งั้น...ก็ยอมตายซะ” มีซิล กล่าว
ชุนชูเดินทางมาหาองค์หญิงต๊อกมานที่ตำหนัก
“คราวนี้ ดูเหมือนองค์หญิงจะใช้แผนยุให้ แตกแยก คิดจะเอาอย่างข้าใช่ไหม” ชุนชู กล่าว
“อึม...เลียนแบบมาจากเจ้า และเรียนรู้มา จากมีซิล การโดดเดี่ยวฝ่ายที่เป็นศัตรู คงไม่ถือว่าผิดคุณธรรมมากนัก”
“สุดท้ายใครจะชนะ ข้าอยากรู้นัก”
“ช่วยข้าได้ไหม ด้วยปัญญาของเจ้า”
“เรื่องนี้ ต้องให้ข้ารีบตัดสินใจหรือเปล่า”
“ไม่จำเป็น จำได้ว่าเมื่อก่อนเจ้าเคยตั้งคำ ถามกับข้า ว่ากลับมาชิลลาเพื่อต้องการอะไรกัน แน่ แต่ข้ายังไม่ได้ตอบ...ไม่เพียงแต่เล่นงานมีซิล ยังมีฝ่าบาทและบ้านเมืองที่ไม่เป็นระเบียบ ข้าต้อง การเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด นับแต่นี้ข้าจะไม่ยึดมั่นต่อ ใครง่าย ๆ อีกทั้งฝ่าบาท พระมเหสี รวมถึงท่านยูซิน ข้าจะไม่ผูกพันกับพวกเขา ด้วยความรู้สึกเป็นส่วนตัว นี่คือคำตอบจากข้า...ใช้จิตใจที่ห้าว หาญและความเฉียบขาด เล่นงานทุกคนที่ขวาง หน้าให้หมด เจ้าเองก็ขอให้คิดเหมือนข้าด้วย...แต่ว่าชุนชูแค่นั้นยังไม่พอหรอก...เพราะเราไม่อาจไว้ใจใครได้ จึงต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง มาช่วยข้าอีกแรงเถอะนะ อย่าลังเลอีก”
คิมยูซิน เรียกเหล่านางในมาชี้แจงว่าต่อแต่นี้ไปโอสถของเจ้าจินพยอง โซวาจะเป็นผู้ดูแล และยาที่เข้ามาทุกชนิดต้องมีการจดบันทึก และรายงานต่อนาง แม้แต่การนำถวายก็เป็นหน้าที่ของ นาง จากนั้นก็ไปบอกแม่ของตนว่าให้คอยดูแลเรื่อง เครื่องเสวย ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบหรือเครื่องปรุง โดย เฉพาะที่มาจากต่างถิ่นต้องมีการตรวจอย่างถี่ถ้วนก่อนจะรับไว้ และเครื่องเสวยทุกประเภทที่นำขึ้นถวาย ต้องมีการตรวจสอบยาพิษก่อน
องค์หญิงต๊อกมานตรัสกับคิมยูซินว่าเมื่อวานชุนชูมาพบที่ตำหนัก แต่ท่าทางยังไม่รู้ว่าจะเอา ยังไงแน่ จากนั้นก็เข้าไปหาพีดัมกับไอชอง
“อูกวาง เป็นใคร” องค์หญิงต๊อกมานตรัสถาม
“เป็นเจ้าเมือง “คยองซอง” น้องเขยใต้เท้า “อาชังโท” ครอบครองที่ดิน...3,400 ซก” พีดัม ทูล
“จากที่ตรวจสอบ ทุกแปลงมีคนเช่าทำนาและเก็บค่าเช่าได้ครบ ซ้ำยังได้รับผลผลิตต่อปีด้วย” ไอชอง ทูล
“แต่ว่า คนที่มีที่นาเกินกว่า 3 พันซก จะตรวจทำไมหรือพ่ะย่ะค่ะ” แวยา ทูล
“จนวันนี้ ท่านยังไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่เราตรวจทรัพย์สินอีกหรือ...ที่นา 3 พันซก...ยิ่งต้องตรวจสอบ”
“องค์หญิง เพราะอะไร...”
“ถ้าไม่ตรวจสอบ...คงยากจะทำให้ศัตรูเกิด ความขัดแย้งได้” ชุนชู เดินเข้ามา
“หึ...ชุนชู...”
“จริงอยู่ที่ว่าทุกวันนี้มีคนที่ล่ำซำ ครอบครองที่นาเกินกว่า 3 พันซกขึ้นไป แต่คนเหล่านี้ ล้วนเป็นขุนนางที่ต่ำกว่าขั้น 6 บ้างก็เป็นแค่... คหบดีในท้องที่เท่านั้น”
“หึ...”
“การจะให้ผู้มีอันจะกิน มาเข้ากับองค์หญิงเป็นความคิดที่ดี แต่เราต้องรู้ว่าระหว่างผู้สนับ สนุน และคนที่คัดค้านมีผลประโยชน์มาจากทางไหนบ้าง ถึงจะบรรลุเป้าหมายที่จะกระจายกำลังของศัตรูได้...และยังมีผู้ทรงอิทธิพล ที่ไม่ยอมเข้ากับฝ่ายไหน แต่จะให้มาเข้ากับองค์หญิงต๊อกมาน เราก็ต้องสืบประวัติพวกเขาให้ชัดเหมือนกัน” ชุนชู กล่าว
เมื่อชุนชูมีโอกาสอยู่กับองค์หญิงต๊อกมาน ก็บอกกับนางว่าหากใครที่หวังจะได้ตัวตนเองไปเป็นพวกจะต้องยอมรับในสิ่งที่ตนเป็น รวมทั้งความเจ้าเล่ห์ ถึงจะร่วมงานกันได้
“ไม่เพียงแต่เจ้าคนเดียว คนอื่นที่อยู่กับข้าก็ล้วนมีข้อดีข้อเสีย บางคนก็โหดร้าย บางคนทะเยอทะยาน บางคนก็มีเป้าหมาย ทุก ๆ คน ล้วนต้องปรับตัวให้เข้ากับการทำงาน ทุกคนจะช่วย กันเกื้อหนุน ให้ข้าเป็นคนใหม่เหมือนกัน...สิ่งที่ข้าต้องทำก็คือ เป็นเบ้าหลอมอันใหญ่ ที่จะหล่อหลอมให้ทุกคนเข้ากันได้ ถ้าเจ้าคิดว่าเบ้าหลอมอัน นี้ยังทำงานไม่พอ ข้าก็ยอมให้เจ้าไปหาเบ้าหลอม อันใหม่ได้ทันที”
“ทรงคิดว่า...จะชนะนางได้หรือเปล่า แม่ ...แม่ของหม่อมฉัน...องค์หญิง...ชอนมยอง ฮือ... หม่อมฉันร้องไห้อยู่ทุกคืน ไม่รู้ว่าองค์หญิงเคยเสีย พระทัยบ้างหรือเปล่า...ฮือ...ฮือ...”
องค์หญิงต๊อกมานและพวกตัดสินใจสรุปการปฏิรูปเก็บส่วยที่ 5 พันซก จากนั้นก็ประกาศให้ขุนนางทั้งหลายรู้
“ปฏิรูปการเก็บส่วยหรือ” เซจอง ทูลถาม
“ทำได้ยังไง...ทำไมมีความคิดแบบนี้ นั่นสิ...ที่เก็บอยู่ก็ดีแล้วนี่นา...จะเปลี่ยนทำไมอีก...” พวกขุนนาง กล่าว
“ในสมัยพระเจ้าจินฮึง มีการจัดสรรที่ทำกินมากมายแบ่งให้ชาวบ้าน แต่ส่วนใหญ่ในนั้น กลับถูกขุนนางและเชื้อพระวงศ์ครอบครองแทน ซึ่งถือว่าผิดต่อเจตนารมณ์ของอดีตพระราชาหลาย พระองค์ ที่หวังให้ชาวบ้านได้กินดีอยู่ดี และเป็นเหตุให้ราษฎรของเรา นับวันจะยิ่งทุกข์ยากลำบากขึ้น” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส
“แล้วยังไง...เกี่ยวอะไรกับเราด้วย...นั่นสิ...”
“ส่วนการเก็บส่วย ยังคงเก็บในอัตราเดิมโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งถือว่าไม่ถูก...จะใช้ที่ 5 พันซกเป็นมาตรฐาน บ้านไหนมีที่ครอบครองมากกว่านี้ ต้องจ่ายส่วยให้ทางการเป็นสองเท่า การ ครอบครองที่ตั้งแต่ 5 พันถึง 7 พันซกจะเก็บส่วยเป็น 6 ส่วน”
“หา...ตั้ง 6 ส่วนเชียวหรือ...ตายล่ะ...”
“7 พันซกขึ้นไป ไม่เกิน 9 พันซกให้เก็บส่วย 7 ส่วน จาก 9 พันขึ้นไป จนถึงหมื่น 2 พันซก ให้เก็บส่วย 8 ส่วน”
“ล้อเล่น...เก็บตั้ง 8 ส่วนเชียว...มิต้องควักกระเป๋าแย่หรอกหรือ...นั่นสิ...ข้ามีตั้งเป็นหมื่น ๆ ซก...ข้ายิ่งจะจ้องฮุบที่อย่างเดียว...”
“ผู้มีที่ดินเกินกว่าหมื่น 2 พันซกขึ้นไป ...ต้องจ่ายส่วยให้ทางการ ในอัตรา 9 ส่วน”
“หา...โห...”
“เอ่อ...9 ส่วนเชียวหรือนี่ มีเหตุผลอะไรต้องเพิ่มขนาดนี้” ฮาจอง กล่าว
“ตรงข้าม ถ้าใครมีที่ในครอบครองต่ำกว่า 5 พันซก ให้ลดส่วยจาก 5 เหลือเพียง 3 ส่วน ส่วนชาวบ้านธรรมดาที่มีที่ตั้งแต่ 500 ถึง 5,000 ซก ให้จ่ายส่วย 2 ส่วน ใครมีที่ดินต่ำกว่า 500 ซก ให้จ่ายส่วยให้ทางการแค่ 1 ส่วนก็พอ”
“นี่แปลว่าจะลดส่วยให้ชาวบ้านและขุนนางระดับล่าง แต่เพิ่มภาระให้ชนชั้นปกครองระดับ สูงงั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ” มีเซ็ง ทูลถาม
“ใช่”
“ต่อไปจะให้กฎหมายฉบับนี้มีการเร่งใช้โดยเร็ว หวังว่าเมื่อเข้าสภาขุนนางแล้ว ทุกท่านจะ เห็นชอบตามนี้” พระเจ้าจินพยอง ตรัส
“มันเรื่องอะไร...มารีดส่วยตั้งขนาดนี้...ข้า ไม่ยอมหรอกนะ” พวกขุนนางกลุ่มหนึ่งกล่าว
“ดี ๆ...เห็นด้วย ๆ...ข้าจะได้จ่ายน้อยลง ...นั่นสิ...” พวกขุนนางอีกกลุ่มกล่าว
จุปังนำเรื่องการปฏิรูปการเก็บส่วยไปบอก พวกชาวบ้าน ทำให้พวกชาวบ้านดีใจและสนับสนุน องค์หญิงต๊อกมานเพราะต่อไปพวกตนเองจะได้อยู่ สบายขึ้น ด้านมีเซ็งไม่พอใจกับวิธีการขององค์หญิง ต๊อกมาน
“เฮ่ย...ป่านนี้ชาวบ้านกับขุนนางระดับล่าง คงได้เฮกันลั่น ขอให้องค์หญิงจงเจริญแล้ว” มีเซ็ง กล่าว
“องค์หญิงก็ไม่รู้นึกเพี้ยนอะไรขึ้นมา ทำ แบบนี้คือจะเป็นศัตรูกับพวกเราชัด ๆ ว่ามั้ย” ฮาจอง กล่าว
“จุ๊ ๆ ๆ”
“ไม่ใช่หรอก...เป้าหมายที่องค์หญิงทำแบบ นี้คือยุยงให้แตกแยก” ซอวอน กล่าว
“หา...แตกแยกยังไงกัน” ฮาจอง กล่าว
“จุดประสงค์คืออะไรล่ะ ก็เพื่อให้สองฝ่าย ที่ได้ผลประโยชน์เกิดความเห็นที่ขัดแย้งกัน”
“ซี้ด...เหมือนที่คุณชายชุนชูแต่งงานกับ โพยาง ทำให้ท่านเซจองกับท่านซอวอนเกิดหมางใจจนมองหน้าไม่ติดใช่ไหม” มีเซ็ง กล่าว
“ถูกต้อง แผนขององค์หญิงต๊อกมานก็คือ...สร้างรอยร้าวระหว่างขุนนางด้วยกัน เพื่อจะได้ กระจายกำลังพวกเราไปซะ”
“อ้อ...จากนโยบายเรื่องเก็บส่วย เชื่อว่าอาจทำให้ขุนนางบางคนพอใจ ถึงตอนนั้นเมื่อไหร่ ล่ะก็...”
“จะมีขุนนางบางส่วนที่ถูกชักจูงออกไป”
“ใช่ ดูเหมือนว่าองค์หญิงต๊อกมาน นับวันจะยิ่งทรงฉลาดมากขึ้น” ซอวอน กล่าว
พวกองครักษ์ส่วนหนึ่งไม่พอใจกับวิธีการขององค์หญิงต๊อกมาน
“แต่เราก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องปล่อยให้เลยตามเลยซะงั้น” โพจอง กล่าว
“เอ่อ...แต่ว่า คนที่มีทรัพย์สินมากมาย ให้จ่ายส่วยเพิ่มขึ้นอีกซักหน่อย ข้าไม่เห็นว่ามันจะ ไม่ยุติธรรมตรงไหนน่ะนะ”
“นี่แปลว่าเจ้า เห็นด้วยกับองค์หญิงที่ทรง คิดนโยบายนี้หรือ” องครักษ์ อีกคนกล่าว
“ก็ไม่ถึงขนาดเห็นด้วย เพียงแต่เห็นว่าถูกหลักการเลยพูดตามเนื้อผ้า จริงหรือเปล่าท่านซกพุง ได้ยินว่าท่านก็เข้าข่ายได้รับการลดส่วยด้วย นี่นา”
“ถึงจะดีก็เถอะ แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การลดส่วย ก็จะทำให้ทุกฝ่ายพอใจได้” ซกพุง กล่าว
“นั่นสิ องค์หญิงชอบเจ้ากี้เจ้าการ อยู่ดี ๆ ให้ลดส่วย เพิ่มภาระให้ขุนนางระดับสูง เท่ากับเป็น การขูดรีดชัด ๆ”
“แต่ขุนนางบางส่วนก็ได้รับผลประโยชน์นี่”
“เจ้าพูดอะไร มีหัวคิดหรือเปล่า”
“เฮ่ย...”
โฮแจมาขอให้ผ่านความเห็นชอบ เกี่ยวกับ กฎหมายปฏิรูปการเก็บส่วย
“อะไรนะ นี่เจ้าบ้าแล้วหรือไง” ฮาจอง ถาม
“พ่อข้าก็เห็นด้วย และให้มาเรียนท่านตาม นี้น่ะครับ” องครักษ์ คนหนึ่งกล่าว
“ว่ายังไง” เซจอง ถาม
“ที่แล้วมา ถ้าเป็นงานของท่าน เราได้ให้ความช่วยเหลือไม่น้อยน่ะครับ”
“พูดงี้หมายความว่าไง แปลว่าถ้าเราไม่ผ่านกฎหมาย ต่อไปก็ทางใครทางมันงั้นหรือ” ฮาจอง ถาม
“เอ่อ...”
“เราบอกแล้วว่า นี่คือการขอความเห็นใจ” โฮแจ กล่าว
“หา...เห็นใจหรือ เฮอะ...”
ยองชุนเข้าเฝ้าพระเจ้าจินพยองทูลรายงาน ว่าตอนนี้เหล่าขุนนาง ได้เกิดความเห็นแตกแยกเป็นสองฝ่ายแล้ว
“เพราะผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัวระหว่างขุนนางที่ต่างระดับชั้น ทำให้แม้แต่ในวังก็เกิดบรรยากาศอันตึงเครียดด้วย” พระเจ้าจินพยอง ตรัส
“ใช่ จุดประสงค์ขององค์หญิง นับว่าใกล้ จะบรรลุผลแล้ว” คิมซอยอน ทูล
“แต่ว่า แม้ขุนนางระดับกลางจะเห็นด้วยกับนโยบายนี้ แต่กว่าจะเข้าที่ประชุมคิดว่าขุนนางระดับสูงจะเห็นด้วยหรือเปล่า”
“ความจริงเราก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะผ่านแน่นอน”
“ถ้าอย่างงั้น...” พระมเหสีมายา ตรัส
“มี 8 คนที่คัดค้าน ในขณะที่หม่อมฉันกับท่านซอยอนเห็นด้วย ญัตติคงจะตกไป แต่แม้ว่าจะไม่ผ่าน ขุนนางที่คัดค้านเรื่องนี้ อีกไม่ นานจะเกิดความบาดหมางกับขุนนางระดับล่างและชาวบ้านอย่างแน่นอน” ยองชุน ทูล
“ที่จริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฝ่ายไหนเห็นด้วย ฝ่ายไหนที่จะคัดค้าน ไม่ต้องประชุมก็รู้อยู่แล้ว”
“และถ้าค้านจนเรื่องนี้ตกไป เท่ากับเผย ความเห็นแก่ตัวของขุนนางระดับสูง ให้ชาวบ้าน ได้ตาสว่างรู้ว่าใครที่ทำเพื่อบ้านเมืองจริง ๆ”
“ใช่แล้ว” พระเจ้าจินพยอง ตรัส
พีทัน นำจดหมายมาให้คิมยูซิน เพื่อนำ ถวายแก่องค์หญิงต๊อกมาน
“เขียนว่าไงบ้าง” คิมยูซิน ตรัสถาม
“หึ...ท่านจูจินบอกว่าอยากพบข้าซักครั้ง”
“ท่านจูจินคนนี้ กุมกำลังทหารไว้หลายพันคน เท่ากับครอบครัวชนชั้นสูง 5 พันครอบครัว แถมยังอยู่ใกล้เมืองหลวงที่สุด มีกำลังที่พร้อมอยู่ตลอด” ไอชอง ทูล
“ที่สำคัญยังมีขุนนางอีกหลายฝ่ายที่จะร่วมสังเกตการณ์ ต่างก็สนใจเรื่องนี้มาก” คิม ยูซิน ทูล
มีเซ็ง ไม่พอใจที่มีซิลนั่งเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อน
“ข้างนอกใครต่อใครกำลังถกเถียง ต่างก็ไม่ยอมลดราวาศอกให้แก่กัน เฮ่ย...” ฮาจอง กล่าว
“นั่นสิ ถึงขนาดมีคนบอกว่าไม่ต้องเข้าที่ประชุม ให้ประกาศใช้เลยสิ้นเรื่อง” เซจอง กล่าว
“ต๊อกมานนี่ ช่างเป็นเด็กฉลาดที่สอนแล้วรู้จักต่อยอดไปไกลนัก...ขุนนางที่ให้มาคุยเป็น การส่วนตัว ได้มาพบแล้วหรือยัง” มีซิล กล่าว
“ครับ ทุกคนมาพบหมด แต่ละคนก็เริ่ม มีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป” ซอวอน กล่าว
“ท่านแม่ ขืนเป็นแบบนี้ ฐานอำนาจของ เรามิถูกสั่นคลอนหรอกหรือครับ....ท่านแม่ ทำไม ไม่ยอมพูดอะไรซักคำล่ะครับ” ฮาจอง กล่าว
“พี่ใหญ่ ขืนปล่อยไว้ เราจะถูกผู้คนประณามหาว่าเห็นแก่ตัวนะ” มีเซ็ง กล่าว
“ใช่ ไม่ควรปล่อยให้เป็นแบบนี้ ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่ต้องแบกรับเสียงประณามของชาวบ้าน เพราะฉะนั้นถึงวันประชุมเมื่อไหร่ให้ทุกคนลงมติเห็นชอบด้วย”
“หา....อะไรนะ บอกให้เราเห็นชอบด้วยหรือ”
“ฮูหยิน ทำไมถึงให้....” เซจอง ถาม
“ล้อเล่นน่า ท่านแม่ เพราะอะไรถึงบอกให้เรา...” ฮาจอง กล่าว
“ภายในวันนี้ ให้ท่านพี่ไปหาใต้เท้า “ซูอุย” ท่านซอวอนไปหาท่าน “จินชุน” มีเซ็งไปหาท่าน “ซินโพ” ส่วนฮาจองไปหาท่าน “ซุงซิน”....จากนั้นเอาจดหมายไปมอบให้.... ทุกคน... จะต้องมอบให้กับมือพวกเขา และรอฟังคำตอบภายในคืนนี้ นั่งเฉยทำไมล่ะ ไม่รีบไปทำงานอีก” มีซิล สั่ง
เช้าวันรุ่งขึ้นมีการประชุมเหล่าขุนนาง
“เกี่ยวกับข้อเสนอขององค์หญิง ที่จะเปลี่ยนระบบการเก็บส่วย ซึ่งเป็นที่รับทราบโดยทั่วกันแล้วนั้น วันนี้จึงมีการประชุมเพื่อจะลงมติเกี่ยวกับเรื่องนี้....จากการที่ทุกท่านคิดมาหลายวัน เรื่องนี้คงไม่ต้อง....มีการถกเถียงอีก แต่ให้แสดงความเห็นชอบได้เลย ทุกท่านแค่บอกว่า เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โดยการโยนแผ่นไม้ออกมาข้างหน้าก็พอ เห็นด้วย 9 เสียง” เซจอง กล่าว
“อ้าว....ทำไม 9 เสียงล่ะ....นึกว่าเห็นด้วยหมด....” พวกชาวบ้าน กล่าว
“9 เสียงหรือนี่” ไอชอง กล่าว
“แย่จริง....9 เสียงก็มีปัญหา....แสดงว่าไม่เป็นเอกฉันท์....นั่นสิ....” พวกชาวบ้าน กล่าว
“คัดค้าน 1 เสียง ตามที่กฎหมายกำหนดว่าญัตติใด ๆ ต้องเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ แสดง ว่าเรื่องนี้ให้กลับไปทบทวนแล้วค่อยว่ากันใหม่” เซจอง กล่าว
“อ้าว....ไหงงั้นล่ะ....นึกว่าจะผ่านแล้วเชียว....แย่จริง....ดันมีหนึ่งเสียงคัดค้าน...” พวกชาวบ้าน กล่าว
“เห็นด้วย 9 เสียง มีขุนนางคนเดียวที่คัดค้าน แปลว่าคนอื่นเห็นด้วยหมดสิ” ไอชอง กล่าว
“เราหลงกลแล้ว จริง ๆ คือคัดค้านนั่นแหละ แต่เพื่อไม่ให้ชาวบ้านและขุนนางระดับล่าง ตำหนิพวกเขามากนัก เป็นแผนของมีซิลอีกแล้ว” คิมยูซิน กล่าว
เมื่อญัตติที่ประชุมออกมา องค์หญิงต๊อกมาน จึงขอแสดงความเห็น
“หือ....แสดงความเห็นหรือ....จะทำอะไรอีก”
“ญัตติที่ตกไปแล้ว จะไม่มีการนำมาพูดซ้ำอีก นี่คือกฎของสภาขุนนางพ่ะย่ะค่ะ” เซจอง ทูล
“ที่ข้าพูดถึง ไม่ใช่ญัตติที่ตกไปเมื่อกี้.... แต่คือการลงมติในสภาขุนนาง น่าจะให้ถือเสียงข้างมาก ไม่จำเป็นต้องเป็นเอกฉันท์”
“เอางั้นหรือ....ก็ดีนะ....ไม่ต้องเห็นด้วยหมดหรอก....”
“การแสดงความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ เป็นธรรมเนียมของเรามานาน องค์หญิงจึงไม่สมควรจะมาเปลี่ยนกฎง่าย ๆ” เซจอง กล่าว
“ทุกวันนี้กฎหมายแต่ละมาตรากว่าจะออกได้ ต้องให้สภาขุนนางเห็นชอบเป็นเอกฉันท์จึงจะนับว่ามีผล ขนาดองครักษ์ซึ่งเป็นเสาหลักของชิลลา ก็ยอมรับมติที่ออกจากเสียงข้างมาก หรือแม้แต่การเลือกขุนนาง ก็ใช้เพียงเสียงข้างมากก็พอ สุดท้ายมีเพียงสภาขุนนางที่ยึดติดกับเสียงเอกฉันท์ หากสิ่งใดที่ไม่สอดคล้องกับผลประโยชน์ของพวกท่าน ญัตตินั้นก็จะไม่ผ่านหรือให้ตกไปทันที....ประเด็นนี้ ถือเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อการพัฒนาบ้านเมือง เป็นเพียงเครื่องมือให้ขุนนางระดับสูงไว้หาประโยชน์ใส่ตัว ข้าจึงเสนอว่า ต่อไปไม่ว่าจะยื่นญัตติเรื่องอะไรก็ตาม ให้ใช้เสียงข้างมากก็พอ” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส
“ข้าเห็นด้วย”
“ใช่แล้ว องค์หญิงรับสั่งถูกต้อง”
“ใช่ ๆ....เราก็เห็นด้วย....เราสนับสนุนองค์หญิง....เราก็เห็นด้วย...” พวกชาวบ้านตะโกน