Queen Seon Deok ( 善德女王/ 선덕여왕)เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 9Cr. : Dailynews Online คิมยูซิน เห็นทุกคนนั่งพักไม่ฝึกก็เข้ามาต่อว่า
“ข้าบอกให้ไปฝึกค่ายกลไม่ใช่หรือ ยังมานั่งพักแอ่นหลังสบายตัวอีก ไปเตรียมตัวได้แล้ว”
“ครับ”
“ต๊อกมาน...เจ้า...”
“เฮ่ย...เอาเถอะ ๆ มัดถุงทรายอีกก็ได้ ไม่ต้องสั่งหรอก เชอะ...จะให้มัดถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ หึ... เชอะ...”
“ถ้าตกอยู่ในวงล้อม ต้องตั้งค่ายเป็นวงกลม และค่ายนั้นหมายถึงการเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ทุกคนต้องร่วมมืออย่างดี ประสานเป็นหนึ่งเดียวอย่างเหนียวแน่น เข้าใจหรือเปล่า” คิมยูซิน กล่าว
“ครับ”
“เริ่มได้แล้ว...ตั้งค่าย” คิมยูซิน สั่ง
“เฮ้ย...ๆ”
“เดินเท้าขวา ก้าวเท้าซ้าย ตั้งใจกว่านี้หน่อย”
“ว้าย...โอ๊ย...” ต๊อกมานร้อง ทุกคนล้มหมด
“อยากให้ทุกคนตายหรือไง ตั้งใจหน่อยได้ไหม เอาใหม่...ก้าวเท้าซ้าย”
“ครับ...เฮ้ย ๆ ๆ”
เมื่อถึงเวลากลางคืน คิมยูซิน เห็นต๊อกมาน ยังไม่นอนกลับฝึกยิงธนูอยู่ก็เข้ามาถาม
“ทำไมยังไม่นอนอีก...ถึงเวลานอนกลับไม่นอน มิน่าถึงได้อ่อนเปลี้ยเพลียแรงกว่าคนอื่น”
“สรุปก็คือ ท่านชังน้ำหน้าข้าจะหาเรื่องขับไล่ใช่ไหมล่ะ...ที่ข้ายอมอยู่นี่เพราะมีเหตุจำเป็นบางอย่าง ท่านก็ทนหน่อยเถอะ”
“ไปนอนได้แล้ว”
“ปีนี้เราต้องเข้าประลองยุทธ์ให้ได้...คือ... ข้ารู้สึกเหลือทนที่ให้ใครต่อใครมาหยามหน้าอีก... ท่านก็รู้ ข้ายิงธนูแม่นกว่าแต่ก่อนเยอะ สมัครแข่งยิงธนูก็ได้ หึ ๆ เอ่อ...อย่าลืมซะล่ะ หา...หึ...เฮ่อ...”
เช้าวันรุ่งขึ้น ต๊อกมาน จุปัง และโกโต ได้ฝึกแบกกระสอบ ต๊อกมานหนักกว่าคนอื่น ๆ เพราะมีถุงทรายผูกเท้าด้วย
“ขาผูกถุงทรายยังไม่พอ ต้องแบกกระสอบข้าวอีกหรือ...เป็นแค่ลูกกระจ๊อกเล็ก ๆ กล้ามาจ้องหน้าข้าเชียวหรือ” ซกพุง หัวหน้ากลุ่มองครักษ์ กล่าว
“ต๊อกมาน เป็นไรหรือเปล่า หา...พวกเจ้าจะทำอะไร หาเรื่องหรือ” จุปัง เข้ามา
“หน็อย...ดูมัน...”
“ต๊อกมาน มานี่เร็วเข้า ลุกขึ้น” โกโต กล่าว
“มานี่มา อย่ายุ่งกับมัน มาทางนี้ เร็วเข้า” จุปัง กล่าว
“มีเรื่องอะไรกันอีก” โพจอง เข้ามา
“ดูซิ ใครมาอีกล่ะนี่”
“เห็นมั้ย เป็นเรื่องจนได้” โกโต กล่าว
“มาแล้วหรือครับ ท่านโพจอง, ท่านไอชอง พวกนี้มันไม่เจียมไม่เคารพคนของเราน่ะครับ” องครักษ์ กล่าว
“ช่างเถอะ มันก็แค่ทหารปลายแถว ที่ไม่กล้าแม้แต่ประลองฝีมือ จะไปถือสาด้วยทำไม” โพจอง กล่าว
“มีแต่ทำให้เราเสียเกียรติเปล่า ๆ” ไอชอง กล่าว แล้วเดินไป
“นี่แน่ะ...”
“เฮ้ย...โอ๊ะ...หน็อย...มันชอบแกล้งเรื่อย...เจ็บใจนัก...”
“โกโต ๆ ช่วยที เร็วเข้า โยนให้มันบ้าง” จุปัง กล่าว
“ย้าก...ไปให้พ้นเลย”
“หน็อย...เกลียดนัก ข้าอยากจะอัดมัน...” ซียอ กล่าว
“เฮ้ย...อย่า...เย็นไว้...”
“ใจเย็น ๆ เราไปประลองฝีมือดีกว่า” กุกซอน กล่าว
“ใช่ ท่านยูซินก็บอก ถ้าปีนี้เราชนะพวกเขาได้ก็ดี หึ...หึ...” ต๊อกมาน กล่าว
แม่ทัพเข้ามารายงาน พระเจ้าแผ่กจอง ว่าเมือง “ซกฮัม” ถูกตีแตก ฮาจองจึงอาสานำทัพทหารไปขับไล่ข้าศึก มีซิล เห็นด้วยและถือโอกาสนี้เล่นงานทหารแพ่กเจที่ชอบมาล่วงล้ำดินแดน แต่พระเจ้าแผ่กจองเห็นว่าควรให้คิมซอยอนนำทหารไปรับมือดีกว่า ซึ่งอึยเจก็เห็นด้วย เพราะตั้งแต่กลับมาเมืองหลวงคิมซอยอนไม่เคยออกศึก ควรให้มีผลงานบ้าง
“หม่อมฉันเห็นว่าไม่สมควร” เซจอง กล่าวทูล
“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ คิมซอยอนไม่เป็นที่เคารพของเหล่าทหาร ไม่เหมาะที่จะนำทัพพ่ะย่ะค่ะ” ซอวอน กล่าวทูล
“พักก่อนเขต “ซังนัก” มีปัญหาเขายังแก้ไม่ได้เลย” มีเซ็ง กล่าว
“ที่สำคัญ เมืองซกฮัมเป็นชัยภูมิสำคัญของเราด้วย” เซจอง กล่าว
“ถูกแล้วพ่ะย่ะค่ะ หากไม่รีบกอบกู้คืนมาเร็ว ๆ จะมีผลต่อความมั่นคงของบ้านเมืองได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้าอย่างงั้น เสียงส่วนใหญ่คงเห็นว่า เหมาะจะให้ฮาจองเป็นผู้นำทัพมากกว่า” มีซิล กล่าว
มีซิลกังวลเรื่องของสองพ่อลูกคิมซอยอนและคิมซูยิน จึงบอกกับฮาจองว่าศึกครั้งนี้เขาต้องชนะให้ได้
“ท่านแม่ไม่ต้องห่วงครับ ได้ยินว่าแม่ทัพแพ่กเจ มีชื่อว่า “คูแพ” ความหมายก็แปลว่าขี้แพ้ แล้วจะชนะพวกเราได้ไง ฮ่า ๆ คูแพ เฮ่อ ๆๆ น่าขำจริง ๆ”
“บอกทุกคนเตรียมตัวให้พร้อมออกศึก ปีนี้ข้าจะไปร่วมงานประลองฝีมือในเทศกาลบ๊ะจ่างด้วย” มีซิล กล่าว
“อึม...”
“เฮ่อ ๆๆ ชื่อคูแพก็มีด้วย โอ๊ะ...เฮ่อ ๆๆ” ฮาจอง หัวเราะ
“เส้นตื้นไม่เข้าเรื่อง” เซจอง กล่าว
ชอนมยอง เห็นว่าการประลองฝีมือครั้งนี้ หน่วยยองวายังไม่ลงชื่อเข้าร่วม ก็ตรัสถามกับ โฮแจ และโพจอง จึงรู้ว่าหน่วยยองวายังฝึกได้ไม่ถึงขั้นนักและอาจไม่พร้อมร่วมแข่งในปีนี้ ด้านคิมยูซิน บอกกับองครักษ์ของหน่วยตนว่าปีนี้จะไม่เข้าร่วมแข่งขัน เพราะยังต้องฝึกฝีมืออีกมาก
“ท่านกลัวเราจะแพ้อีกใช่ไหม เทียบกับความพ่ายแพ้ การไม่กล้าเผชิญหน้ายังน่าอายซะกว่า...แต่ก็จริง คงไม่มีอะไรอัปยศกว่านี้อีก องครักษ์ที่ไม่มีโอกาสได้เข้าประลองยุทธ์ ธงประจำหน่วยก็ถูกฉีกขาด มีแต่หน่วยยองวาของเราเท่านั้น” ต๊อกมาน กล่าวแล้วเดินออกไป จากนั้นก็ถูกหน่วย “ชองยอง” เล่นงาน แทพุงเห็นเข้าจึงรีบมาบอกจุปังและพวกให้ไปช่วยจนเกิดการต่อสู้กัน
โฮแจ สอบถามคิมยูซินว่าทำไมปล่อยให้เกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกัน คิมยูซินบอกว่าหน่วยชองยองมาลบหลู่พวกเราก่อน
“ถ้าเป็นอย่างท่านยูซินว่า หน่วยยองวาของเขาถูกลบหลู่จริง ก็ควรแสดงความสามารถ ประลองฝีมือให้ทุกคนได้เห็นไม่ใช่หรือ” โพจอง กล่าว
“ไม่ว่าองครักษ์คนไหนถ้าถูกดูหมิ่นจริง จะต้องแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์เพื่อเป็นการล้างอาย นี่คือกฎขององครักษ์”
“ท่านยูซิน หรือท่านว่าไง ถ้าเราถูกหยามเกียรติ แม้ตายก็ต้องปกป้องศักดิ์ศรีไว้ถึงสมเป็นองครักษ์”
“ถ้าหน่วยยองวาถูกลบหลู่จนขอเข้าร่วมการประลอง หน่วยชองยองก็ไม่มีสิทธิปฏิเสธ...หรือท่านจะว่าไง” โฮแจ ถาม
“ท่านยูซิน ถ้าท่านเห็นว่า เหตุเกิดเพราะเราเป็นฝ่ายลบหลู่คนของท่านจริง ก็รีบมาประลองกับเราดีกว่า พวกเราหน่วยชองยองจะไม่มีวัน...ถอยหนีง่าย ๆ” ซกพุง ถาม
“ตกลงจะเอายังไง ปีนี้เข้าร่วมการประลองมั้ย”
ต๊อกมานถูกคิมยูซินลงโทษด้วยการตี ซียอมาเห็นจึงขอร้องให้หยุดลงโทษ
“แม้ว่าปกติข้าก็ไม่ชอบต๊อกมาน แต่คราวนี้ไม่เห็นเขาจะทำอะไรผิดซักนิด พวกหน่วยชองยอง จู่ ๆ มาลบหลู่เขาก่อน ต่อหน้าธารกำนัล จะจับเขาถอดกางเกงด้วยซ้ำ...ลูกผู้ชายถูกหยามถึงขนาดนี้ ยังจะให้คุกเข่าขอโทษหรือไง”
“เมื่อถูกลบหลู่แล้ว ถ้าจะกอบกู้ชื่อเสียง กลับมา เราก็ต้องประลองฝีมือกับพวกเขา...เราจะประลองยุทธ์กับหน่วยชองยอง ได้ยินหรือเปล่า หรือไม่ก็ต้องรับโทษหนึ่งเดือน ซักเสื้อผ้าให้หน่วยชองยอง...รอจนกว่าเรามีฝีมือพอจะสู้ได้ ถึงตอนนั้นค่อย...”
“สู้ไปเลย อูย...หึ...ประลองก็ประลองสิ แพ้หรือชนะมันก็ต้องผ่านการประลองถึงจะรู้”
“ใช่ สู้ไปเลย ถ้าให้ซักผ้าให้พวกมัน ข้าขอสู้ตายดีกว่า จริงมั้ยพวกเรา” ซียอ กล่าว
“ข้าก็ว่างั้น” แทพุง กล่าว
“สู้ไปเลย”
“การต่อสู้ที่บุ่มบ่ามเท่ากับเอาชีวิตไปทิ้ง การอดทนเพื่อรอโอกาสถึงจะยากมากกว่า ถ้าไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรรุกเมื่อไหร่ควรถอยก็ไม่ควรวู่วามให้มาก” คิมยูซิน กล่าว
“ถ้าถือคตินี่ก็ไม่สู้, นั่นก็ไม่สู้ หน่วยยองวาจะมีความหมายอะไรอีก หึ...หลายปีนี้เราซ้อมหนักเพื่ออะไร เหนื่อยแทบตายเพื่ออะไรกัน หึ...ท่านอาจเป็นคนมองการณ์ไกลรู้จักรอคอยโอกาส แต่เราไม่ใจเย็นอย่างงั้นและไม่อดทนด้วย หึ...คนที่ไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของลูกน้อง ยังจะคู่ควรเป็นหัวหน้าหน่วยองครักษ์ได้ยังไง” ต๊อกมาน กล่าว
“เพราะเจ้าคนเดียว...จะให้ข้าเข้าใจลูกน้องแล้วให้ทุกคนไปตายใช่ไหม หรือไม่งั้น... เพื่อเห็นแก่ศักดิ์ศรีน้อยนิดของเจ้า จะให้ทุกคนพากันตายหมด”
“ท่านพูดก็ถูก ไม่ควรให้ทุกคนไปตายกับข้าด้วย...สาเหตุเพราะข้าคนเดียว ข้าเป็นคนก่อ เรื่องเอง”
ชอนมยองมาหาต๊อกมาน เห็นเขาหน้าเครียดก็ถาม ต๊อกมานบอกเพราะนางเป็นต้นเหตุ
“ข้าน่ะหรือ”
“เป็นคนถือศีลแท้ ๆ ทำไมโกหกว่าท่านมุนโนจะกลับมา แถมยังให้ข้ารออีก เฮ่ย...”
“ถึงไม่เห็นแก่ข้า แต่เรื่องของชิซูก็น่าจะทำให้เจ้าอยากอยู่ต่อไม่ใช่หรือ” ชอนมยอง กล่าว
“แล้วยังไง ท่านมุนโนไม่เห็นจะมาเลย หึ...”
“ข้าอุตส่าห์หลบหน้าคนอื่นเพื่อมาพบเจ้า ยังมาต่อว่าอีก”
“เฮ่ย...สงสัยเวลาอยู่วัด เจ้าคงเป็นตัวก่อเรื่อง”
“หึ...เจ้า...ถูกท่านยูซินตำหนิมาใช่ไหม...เขาทำอะไรกับเจ้าบ้าง”
“เขาใจร้าย ยังไม่พอ ใจแข็งอีกต่างหาก”
“ทำไมหรือ”
“เรื่องนั้นเป็นไงบ้าง สืบได้หรือยัง” ต๊อกมาน ถาม
“อ้อ..เห็นบอกว่า สมัยก่อนแม่ทัพ มุนโนกับท่านชิซูหายไปในเวลาไล่เลี่ย แต่ว่า ท่านชิซูรับหน้าที่ให้ไปทำอะไรบ้าง และตอนนี้เป็นตายร้ายดียังไง กลับไม่มีใครรู้...แม้ว่าสามปีหลังจากที่เขาหายไปมีคนเซ่นไหว้บ้าง แต่ก็ไม่รู้รายละเอียด” ชอนมยอง กล่าว
ธงของหน่วยองครักษ์ชองยองถูกตัด โฮเจ สงสัยว่าเป็นฝีมือของหน่วยยองวา เพราะมีหลักฐานในที่เกิดเหตุเป็นผ้าคาดผมของหน่วยยองวา ต๊อกมานปฏิเสธไม่ใช่เป็นคนทำ
“ธงประจำหน่วยขององครักษ์ เปรียบเสมือนจิตวิญญาณ ใครที่ทำเรื่องแบบนี้ เราจะถือเป็นการท้าทายซึ่งหน้า หน่วยชองยองถูกลบหลู่แบบนี้ ย่อมมีสิทธิขอใช้การประลองเพื่อตัดสิน และคนของหน่วยยองวา...ก็ห้ามปฏิเสธด้วย...หน่วยชองยองจะขอพิสูจน์ฝีมือกับหน่วยยองวาเพื่อตัดสินใช่ไหม” โฮแจ ถาม
“แน่นอนครับ พวกเราหน่วยชองยอง นับแต่นี้จะไม่ขอญาติดีกับหน่วยยองวา ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร เราก็ขอประลองฝีมือด้วย” ซกพุง กล่าว
“งั้นสรุปว่า การประลองระหว่างหน่วยยองวากับหน่วยชองยองถือเป็นอันตกลง ข้าขอประกาศในนามหัวหน้าองครักษ์ ให้สมาชิกทุกคนไปที่ลานฝึกยุทธ์พรุ่งนี้เช้า และองครักษ์ทุกหน่วยจะร่วมเป็นสักขีพยานสำหรับการประลองในครั้งนี้”
โพจองเข้ามารายงานมีซิลว่าจะมีการประลองฝีมือกันระหว่างหน่วยยองวากับหน่วยชองยองก่อนวันงานจริง จากนั้นมีเซ็งก็มาตามมีซิลไปที่ท้องพระโรง มีซิลก็ได้รู้ว่าแม่ทัพฮาจอง นำทัพทหารไปรบแพ้ กำลังนำกำลังถอยกลับมีซิลจึงทูลเสนอพระเจ้าจินพยอง ให้มีรับสั่งให้ท่านซอวอนนำทหารไปรับมือข้าศึกด้วยตัวเอง และมอบอำนาจทางทหารให้ซอวอนเป็นผู้บัญชาแต่เพียงคนเดียว
ชอนมยอง ถามคิมยูซินว่าได้ยอมรับการประลองแล้วหรือ คิมยูซิน บอกว่าหน่วยของตนถูกหยามหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ไม่มีทางเลือกอื่น และพวกเขาก็มีหลักฐานชัดเจน องค์หญิงชอนมยองจะช่วยแก้ให้โดยใช้อำนาจขององค์หญิงยับยั้งการประลองคราวนี้เอาไว้ก่อน แต่คิมยูซินปฏิเสธกลัวว่าต่อไปหน่วยยองวาจะมองหน้าคนอื่นไม่ได้
จุปัง และเพื่อนกำลังวางแผนในการประลองอยู่ คิมยูซินก็เดินเข้ามา
“แทพุง เจ้าตัวเล็กแต่ฝีมือไว ให้เป็นหน่วยประชิดตัวคู่ต่อสู้ ซียอ...เจ้าเก่งพอตัว แต่เสียเปรียบด้านกำลัง สู้นาน ๆ จะแพ้ง่าย ต้องใช้วิธีเอาชนะรวดเดียว โกโต ตั้งแต่ข้าโตมาป่านนี้ ไม่เคยเห็นใครมีแรงเยอะเหมือนเจ้า ฉะนั้นไม่ต้องกลัว ถือซะว่าเป็นการล่าสัตว์ธรรมดา จุปัง รู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง หลีกเลี่ยงการเผชิญซึ่งหน้า เข้าใจที่พูดหรือเปล่า” คิมยูซิน กล่าว
“เอ่อ...ครับ เข้าใจ”
“กุกซอน อย่าหุนหันพลันแล่น ถ้าใช้อารมณ์จะเสียหมด ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ต้องตั้ง สติให้ดี เข้าใจมั้ย มีคำพูดหนึ่งเรียกว่า “เฉือนเนื้อหักกระดูก” ความหมายคือเรายอมเฉือนเนื้อ เพื่อหักกระดูกของศัตรูมาแทน หน่วยชองยองไม่เห็นเราอยู่ในสายตา เราจะใช้ข้อนี้ให้เป็นประโยชน์ เข้าใจหรือเปล่า”
“ครับ” ทุกคน กล่าว
“ท่านยูซิน...ข้าล่ะ ให้ทำอะไรบ้าง” ต๊อกมาน ถาม
“เจ้ายืนอยู่ข้างหลังข้า”
“เอ่อ...ไม่ได้เด็ดขาด ข้าจะขอประลองเป็นคนแรก โปรดให้ข้ามีส่วนร่วมเถอะ ท่านสอนกลยุทธ์ให้ข้าก็ได้”
“ถึงเจ้าสู้ยังไงก็ไม่ชนะหรอก”
“ท่านทำแบบนี้ ไม่คิดว่าเกินไปหน่อยหรือ...หึ...นี่เป็นการกลั่นแกล้งอย่างโหดร้าย ถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะให้ข้าแอบอยู่ข้างหลังอีก...ถึงเวลาก็ให้ข้ายืนแอบไว้ แล้วคอยดูพี่น้องของเราตายต่อหน้าทีละคนงั้นหรือ หึ...ข้าทำไม่ได้ ข้าจะขอตายเป็นคนแรก”
“จะไม่มีการตายเกิดขึ้น...ใครก็ห้ามตาย”
ชอนมยอง บอกให้ต๊อกมานหนีไป แต่ต๊อกมานปฏิเสธ เพราะการที่มาเป็นองครักษ์ไม่ใช่เรื่องของท่านมุนโนอย่างเดียว ด้านซอวอนเข้ามาทูลพระเจ้าจินพยอง ว่าตอนนี้ทหารแพ่กเจได้ยึดเอาเมือง “ซกฮัม” เป็นฐานที่มั่น
“แล้วทัพชิลลาของเราจะไปตั้งรับที่ไหน”
“แม้ว่าจะปักหลักที่เมือง “จีพองซุน” ได้ แต่ดูจากกำลังเสริมของเมือง “โกยอง” และ “ซองมี” ที่จะมาช่วยหนุน ทำให้ยากจะประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า” ซอวอน กล่าวทูล
“หมายความว่าเมืองจีพองซุนก็อาจต้านไม่อยู่ใช่ไหม”
“ถ้าอย่างงั้น เมือง “แทยา” มิยิ่งเสี่ยงหรอกหรือ” เซจอง กล่าว
“ถัดจากเมืองแทยา ก็คือเมืองหลวงแล้ว” อึยเจ กล่าว
“ตายล่ะ...แย่จริง...ข้าศึกใกล้เข้ามาแล้วนะนี่...นั่นสิ...
“ถึงต้องให้ท่านซอวอนไปบัญชาการรบด้วยตัวเอง...และท่านซอวอนก็ได้สั่งการให้หัวหน้าองครักษ์ “โฮแจ” โพจองและยิมจง ปลอมตัวไปดูลาดเลาที่ค่ายทหารแพ่กเจล่วงหน้าแล้วเพคะ” มีซิล กล่าวทูล
“ท่านซอวอน ข้าให้ท่านจัดระเบียบกองทัพใหม่และเตรียมตัวออกศึกในเร็ววันนี้”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“องค์หญิงก็ช่วยแบ่งงานให้องครักษ์แล้วรอฟังคำสั่งอีกที” มีซิล กล่าว
“ข้าเข้าใจดี”
“ไม่ว่ายังไงก็ต้องเอาชนะแคว้นแพ่กเจ กอบกู้เมืองซกฮัมกลับมาโดยเร็ว”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
องค์หญิงชอนมยอง ประกาศแบ่งงานให้องครักษ์
“ตอนนี้ “โฮแจ” โพจองและยิมจง ได้ไปค่ายทหารของแพ่กเจเพื่อดูลาดเลาแล้ว... ส่วนพวกเจ้า ให้ไปรวมกับหน่วยองครักษ์ทั้งสิบของเรา หลังจากนั้น เมื่อแบ่งหน้าที่เรียบร้อยก็ขึ้นตรงต่อท่านซอวอนอีกที หน่วยยุนวา ให้ไปรวมกับหน่วยชองยองของซกพุง หน่วยซุยวา ให้ไปรวมกับหน่วย “ซอยอง” ของอุนซัง หน่วยกึมอา ไปรวมกับหน่วย “ยอนวูซิน” และหน่วยยองวา...ไปรวมกับหน่วย “บีชอน” ของ “ไอชอง” ยูซินแห่งหน่วย ยองวา ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นในสนามรบ ต้องฟัง คำสั่งท่านไอชอง แห่งหน่วยบีชอนสถานเดียว เข้าใจมั้ย”
“พ่ะย่ะค่ะ” คิมยูซิน กล่าว
พวกองครักษ์ออกไปเก็บของเตรียมเดินทาง ชอนมยอง ก็เข้ามาสอบถาม คิมยู ซินว่าเป็นการออกศึกครั้งแรกใช่ไหม
“ไม่เพียงแต่หม่อมฉันยังรวมถึงทุกคนด้วย”
“แล้วท่านไม่กลัวบ้างหรือ”
“ทุกคนต้องผ่านการสู้รบครั้งแรกทั้งนั้น ความกลัวคงไม่ช่วยอะไรได้”
“ความคิดข้าก็เหมือนท่านนี่แหละ... แต่ว่า ลูกน้องอื่นจะคิดเหมือนกันหรือเปล่า...รู้มั้ยว่าทำไมข้าถึงให้ต๊อกมานมาอยู่ใกล้ตลอด... เพราะเด็กคนนี้สามารถเอาชนะความกลัว บางครั้งแม้รู้ว่าไม่มีทางชนะ เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ที่สำคัญ เขาจะส่งผ่านความมุ่งมั่น ให้คนอื่นรับ รู้ได้ด้วย...ดูผิวเผินเหมือนมีข้อเสียมากมาย แต่ ออกรบเมื่อไหร่ เขาจะเป็นคนเข้มแข็งมาก... และถ้าสามารถรอดกลับมา เขาจะยิ่งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอีก...ท่านต้องช่วยเขากลับมาให้ได้...รวม ถึงลูกน้องทุกคน...ที่ฝึกร่วมกันมานาน ถ้าพวกเขาผ่านได้จะยิ่งเก่งขึ้น...โปรดช่วยให้พวกเขากลับมาพร้อมหน้า เพื่อเป็นกำลังให้ข้าต่อไป”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง”
นางในทูลถามองค์หญิงชอนมยองว่าทำไมไม่มอบป้ายหยกให้ท่านยูซิน เพื่อคุ้มครอง ให้เขาปลอดภัย ตามที่เคยรับสั่งไว้
“เพราะข้ากลัว สมัยก่อนท่านยองซู ก่อนจะออกรบ ข้าเคยมอบป้ายหยกให้เขา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กลับมา ตอนนี้ ข้าก็เลยกลัว”
มีซิล สอบถามซอวอนว่าพอมีหวังชนะ บ้างมั้ย ซอวอนบอกว่าเป็นสงครามที่รบยาก
“พูดแบบนี้ไม่เหมือนท่านซอวอนเลยนะ สงครามครั้งไหน ๆ ล้วนเกิดจากน้ำมือมนุษย์ทั้งนั้น เมื่อคนคนหนึ่งเคลื่อนไหว กอง ทัพก็จะเคลื่อนตาม จากนั้นรากฐานของบ้านเมือง ก็จะสั่นคลอนตามด้วย ข้านี่โง่จริงถึงขนาดสอนแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่านซะแล้ว”
“ไม่ใช่อย่างงั้น ท่านช่วยเตือนสติข้ามากกว่า” ซอวอน กล่าว
ต๊อกมานมาหาองค์หญิงชอนมยองบอกว่าพรุ่งนี้ตนจะออกรบแล้ว
“ทำยังกะไปเที่ยว คนที่ไปสนามรบต้อง ทำหน้าเศร้าไม่ใช่หรือ”
“เศร้าแล้วช่วยให้อะไรดีขึ้นมั้ยล่ะ ช่วย ให้ลูกธนูวิ่งผ่านหน้าข้าไป หรือทหารแพ่กเจเกิด เห็นใจข้าปล่อยให้รอดชีวิตกลับมาหรือเปล่า หึ... อย่าห่วงเลยน่า ขนาดเมื่อก่อนอยู่กับชาวบ้านที่ฝนแล้งยังผ่านมาได้ ท่านยูซินดูถูกข้านักยังไงก็ต้องรอดกลับมาให้ได้”
“ได้ข่าวว่าเขาชอบแกล้งเจ้ามากหรือ”
“เจ้าไม่เคยฟังข้าบ่นบ้างหรือ เขาแกล้ง ข้ายังกะแมวไล่หนู...เอ๊ะ...เดี๋ยวก่อน หรือว่าเขาจะชอบข้า ไม่งั้นจะมาแกล้งทำไม”
“อะไรนะ”
“ไม่งั้นลองคิดดู ตอนฝึกก็เพ่งเล็งแต่ข้าคนเดียว แต่พอจะประลองก็บอกว่าข้าไม่ต้องสู้ให้ยืนอยู่ข้างหลัง”
“คิดมากไปได้ เขาจะชอบผู้ชายได้ยังไง หรือไม่จริงล่ะ เขาไม่ใช่ผู้หญิงซักหน่อย จะชอบผู้ชายอย่างเจ้าได้ยังไง”
“เอ่อ...อ้อ...นั่นสินะ แหะ...ข้าเป็นผู้ชายนี่ แต่ว่าหน้าตาข้าออกจะเหมือนผู้หญิงหึ ๆ”
“เจ้าแค่บอบบางกว่าผู้ชายทั่วไปเท่านั้น ในวังยังมีองครักษ์ที่หน้าหวานกว่าเจ้าอีก”
“จริงหรือนี่ โธ่เอ๊ย...นึกว่าข้าสวยพอแล้ว นะ”
“หึ ๆ ๆ...เจ้าต้องกลับมาล่ะ เพราะว่า ยังมีเป้าหมายที่ต้องอยู่ต่อไป”
“หึ...แน่นอน หึ ๆ” ต๊อกมาน กล่าว
โฮแจ บอกกับฮาจองว่าทุกที่ที่ไปสำรวจ มีแต่ทหารแพ่กเจเต็มไปหมด
“ข้าก็นึกอยู่แล้ว พวกนี้เป็นไส้ศึก มองเห็นความเคลื่อนไหวของเราเหมือนดาวบนฟ้า”
“เหตุการณ์เมืองซกฮัมเป็นไงบ้าง” ซอวอน ถาม
“ไม่เพียงแต่เมือง “โกยอง” และ “เมซาน” แม้แต่ทหารรับจ้างก็เริ่มมีความเคลื่อนไหว น่ะครับ...ดูจากหม้อที่หุงข้าวน่าจะมี 2 พันใบ” โพจอง กล่าว
“แสดงว่ามีกำลังกว่า 2 หมื่น แล้วเมือง “อามักซอง” ล่ะ” ซอวอน ถาม
“เมืองอามักซอง เหมาะกับการตั้งรับมาก กว่าโจมตี เลยไม่มีความเคลื่อนไหวน่ะครับ”
“รู้แล้วไปเถอะ”
ซอวอนเรียกแม่ทัพมาประชุมวางแผนการรบ
“ประตูเมือง “ซกฮัม” ให้แม่ทัพ “อุน ฮา” และหน่วย “อุนซาง” ช่วยกันตีให้แตก ถ้าผ่านคลองหน้าตัวเมือง คิดว่าน่าจะเข้าไปด้าน ทิศใต้ ให้ทหารหน่วย 9 และองครักษ์หน่วย “ชอนซี” กับหน่วย “ยอนมู” ร่วมกันรับผิดชอบ ด้านนี้มีลมกรรโชกแรงเหมาะจะใช้ไฟจู่โจม ส่วนหน่วย “แผ่กโฮ” และ “ทงเม” ให้คุมเชิงอยู่ด้านหลัง ป้องกันศัตรูหลบหนี ถ้าเห็นทหารแพ่กเจ หนีออกนอกเมืองก็ให้ยิงด้วยธนูไฟ หน่วย “ยีวา” และหน่วย “โฮกุก” ตามข้าไปทางประตูตะวันออก ถ้าใช้ไฟไม่ได้ผล เราจะรับช่วงต่อ การจะตีเมืองซกฮัมกลับคืน หมายถึงเอาชีวิตเข้าแลก ที่สำคัญ ไม่ว่าจะแลกด้วยอะไร ก็ต้องยึดเมืองคืนให้ได้”
“ครับ” ทุกคนกล่าว
“ท่านซอวอน แล้วหน้าที่ของหน่วยเรา...”
“ท่านคิมซอยอนกับท่าน “ยอกิดชอง” รวมถึงหน่วย “ชองยอง” และ “บีชอน” ให้เฝ้า อยู่ที่นี่”
“ได้โปรด...ให้ข้าได้แก้ตัวใหม่เถอะ ข้าอยากจะออกไปสู้อีกครั้ง...”
“ท่านทำให้เราเสียทหารไปกว่าครึ่งยังมีหน้ามาพูดอีกหรือ”
“คนของข้า ได้ฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อจะมาออกรบอีกครั้ง โปรดให้โอกาสเราซักครั้งเถอะ”
“ใช่ครับ เราก็เหมือนกัน หวังว่าจะได้สู้ กับข้าศึก ถ้าไงการจู่โจมคราวนี้ โปรดให้เรา...”
“พูดแบบนี้คือจะขัดคำสั่งใช่ไหม...ท่าน กล้าขัดคำสั่งข้าหรือ...ตอนนี้ยูซินอยู่ไหน”
จุปัง ต๊อกมาน โกโต ทะเลาะกับพวกองครักษ์จากหน่วยอื่นเพราะถูกดูถูกจนเกิดการลงไม้ลงมือต่อสู้กัน ไอชองเข้ามาเห็นเข้า
“พวกเจ้าทำอะไร ยังไม่หยุดอีกใช่ไหม... ศัตรูอยู่ตรงหน้าแท้ ๆ ยังมาทะเลาะกันเองอีก”
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ มีปัญหาอะไร” คิมยูซิน เข้ามา
“พวกบีชอนใช้กำลังกับเราก่อนน่ะครับ” ต๊อกมาน กล่าว
“ใช่”
“มีเรื่องอะไร”
“คิมยูซิน” ซอวอน กล่าว
“ขอโทษครับ เป็นความผิดของข้า ข้าจะ...”
“เจ้าไปเมืองซกฮัมกับข้าเดี๋ยวนี้” ซอวอน สั่ง
“แต่ว่า หน่วยยองวาของคิมยูซิน ถูกควบรวมและอยู่ใต้สังกัดหน่วยบีชอนของเราอีกที ทำไมกลับให้ข้าอยู่นี่ ในขณะที่หน่วยยองวา กลับได้ไปสู้รบที่เมืองซกฮัมล่ะครับ” ไอชอง ถาม
“ไม่ใช่อย่างงั้น หน่วยยองวาอยู่ที่นี่ทั้งหมด ยกเว้นยูซิน เป็นผู้ช่วยข้าไปตีเมืองซกฮัมเดี๋ยวนี้” ซอวอน กล่าว
..............จบตอนที่ 9 ...........