วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 44



Queen Seon Deok ( 善德女王/ 선덕여왕)
เรื่องย่อละคร : ซอนต๊อก มหาราชินีสามแผ่นดิน - ตอนที่ 44
Cr. : Dailynews Online


พีดัม คุณชายชุนชู และยอจง แปลกใจที่เซจอง มีเซ็งและฮาจอง ออกเสียงเห็นด้วยหมด

“หึ....สมแล้วที่เป็นมีซิล ขนาดนี้ยังกำหนดได้อีก”

“สามารถที่จะให้ญัตตินี้ตกไปง่าย ๆ ขณะเดียวกันก็ไม่ถูกผู้คนประณามว่า คัดค้านการเปลี่ยนระบบเก็บส่วย” ชุนชู กล่าว

“แต่องค์หญิงก็มีข้อเสนอใหม่ จากที่การประชุมต้องมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ถือเสียงข้างมากก็พอ และตอนนี้กำลังถกกันอยู่น่ะครับ” ยอจง กล่าว

“เสียงข้างมากหรือ”

“ใช่ แต่ข้าว่าเห็นจะลำบาก ขนาดเรื่องเก็บส่วยยังคิดเห็นไม่ตรงกัน แล้วใช้เสียงข้างมาก รับรองว่าไม่มีทางผ่านง่าย ๆ แน่”

“ไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร แค่นี้ก็เป็นวิธีที่ดีแล้ว” ชุนชู กล่าว

“เพราะอะไร” พีดัม กล่าว

“ลองคิดดู คนที่หวังให้ผ่านญัตตินี้และกำลังรออยู่ พอเห็นผลที่ออกมาจะผิดหวังแค่ไหน”

“และความผิดหวังก็จะเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นในที่สุด” พีดัม กล่าว

“อืม....ความโกรธแค้นของชาวบ้าน จะไปถึงสภาขุนนางในไม่ช้า”

“และคิดว่ามีสภาขุนนางไว้ทำอะไร จริงหรือเปล่า”

“ใช่แล้ว ใคร ๆ ก็คิดแบบนี้ เป็นหน่วยงานที่ไม่มีประโยชน์เลย เราต้องทำให้ชาวบ้านเกิดความคิดแบบนี้”

ข้อเสนอขององค์หญิงต๊อกมานที่ให้ถือเสียงข้างมากแทนที่จะเป็นเอกฉันท์เหมือน อย่างเดิมนั้น เมื่อมีการคงมติของเหล่าขุนนางก็มีผู้เห็นด้วย 2 เสียง คัดค้าน 8 เสียง จึงไม่ผ่านความเห็นชอบ ทำให้พวกชาวบ้านที่มารอฟังผลต่างก็ผิดหวังไปตามกัน องครักษ์ที่มีความคิดเห็นต่างกันก็ถกเถียงกันถึงเรื่องการมีทรัพย์สินมากหรือน้อยเป็นเรื่องธรรมดาจะให้ทุกคนมีเท่าเทียมกันเป็นเรื่องยาก

พระเจ้าจินพยองตรัสถามยองชุนถึงเรื่องใช้เสียงข้างมากเป็นมติ เป็นความคิดของต๊อกมานอีกหรือ

“แม้ว่าหม่อมฉันกับท่านซอยอนจะแสดงความเห็นชอบ แต่ขุนนางอื่นล้วนแต่ คัดค้าน เรื่องนี้จึงตกไปพ่ะย่ะค่ะ”

“เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว 700 ปีที่ผ่านมา บ้านเมืองเราอยู่มาได้ก็ด้วยมติเป็นเอกฉันท์ของสภาขุนนางนี่แหละ” พระมเหสีมายา ตรัส

“ไม่แน่ว่าเป้าหมายขององค์หญิง อาจไม่ได้หวังให้ผ่านความเห็นชอบก็เป็นได้เพคะ” ฮูหยินคิม ทูล

“ใช่ ญัตติตกไปก็จริง แต่ขุนนางระดับล่างและชาวบ้านที่มาดู ต่างก็รู้สึกเสียดายนัก ไม่แน่ว่าองค์หญิงอาจต้องการผลแค่นี้ก็ได้” คิมซอยอน กล่าวทูล

“เพื่อให้ทุกคนได้เห็นถึงความด้อยประสิทธิภาพ ถึงได้ทำแบบนี้หรือเปล่า”

“หม่อมฉันว่า เป้าหมายขององค์หญิง คือจุดนี้มากกว่า” ยองชุน ทูล

“ใช่ ทุกคนจะได้รู้ว่าอะไรที่เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ จะให้พวกเขาผ่านความเห็นชอบคงเป็นไปไม่ได้เลย โอย...” พระเจ้าจิน พยอง ตรัส แล้วไอ

“ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรหรือเปล่าเพคะ ถ้าไงกลับห้องบรรทมดีกว่ามั้ย”

“เฮ่อ....ข้าไม่เป็นไร หึ....ไม่ต้องห่วง เฮ่อ....”

เมื่อมีซิลได้เจอองค์หญิงต๊อกมานทั้งสองก็ได้สนทนากัน

“ศึกนี้เหมือนเราได้แลกหมัดคนละครั้ง ลงมติเสียงข้างมาก เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมไม่เบา”

“ใช่ เพราะต่อให้นโยบายดีแค่ไหน กว่าจะผ่านสภาขุนนางได้ เหมือนต้องต่อสู้อย่างหนักหน่วง” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส

“แต่การลงมติเป็นเอกฉันท์เป็นธรรม เนียมมานาน”

“แต่ว่า การลงมติเป็นเอกฉันท์ เริ่มไม่สอดคล้องกับการพัฒนาบ้านเมืองของเรา เพราะสภาในทุกวันนี้ กลายเป็นเครื่องมือปกป้องผลประโยชน์ของเหล่าขุนนางชั้นสูง โดยไม่เห็นแก่ใครทั้งสิ้น....และไม่มีนโยบายอื่นรองรับ ถ้าเป็นเรื่องที่พวกเขาคัดค้าน”

“องค์หญิงรับสั่งถูกแล้ว แต่ว่าหม่อมฉันก็มีความเห็น...ทุกวันนี้องค์หญิงก็ได้รับประโยชน์จากธรรมเนียมตรงนี้ไม่ทราบว่าจะรู้ หรือเปล่า”

“หึ....อะไรนะ”

“ถ้าหาก....เหล่าขุนนางร่วมมือกัน ขอให้องค์หญิงวางมือทางการเมืองและเอาญัตตินี้เข้าที่ประชุม ผลจะเป็นไงบ้าง....ถ้ามีประเด็นนี้ออกมา แล้วใช้เสียงข้างมากในการตัดสิน ขุนนางในสภา ออกเสียงแค่ 6 เท่านั้น องค์หญิงก็ต้องวางมือจากการเมืองทันที แต่ว่า ถ้าเป็นการลงมติเอกฉันท์ ขอเพียงท่านซอยอนหรือท่านยองชุน คนใดคนหนึ่งไม่เห็นด้วย ญัตตินี้ก็เป็นอันตกไป ทำให้องค์หญิงได้อยู่ในตำแหน่งอย่างมั่นคงเหมือนเดิม”

“หึ....งั้นหรอกหรือ เป็นผลพลอยได้ของข้าสินะ”

“ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย หรือว่า ธรรมเนียมปฏิบัติใด ๆ มักเป็นเกราะคุ้มกันของผู้ที่อยู่เหนือกว่า ถ้าใครคิดมาต่อกร ก็ต้องระวังอย่าให้ตัวเองบาดเจ็บ”

“ถ้าอย่างงั้น ในแง่ของกฎหมายหรือธรรมเนียมปฏิบัติ เราจะใช้เป็นเครื่องมือไปเล่นงานอีกฝ่ายได้ไหม”

“เล่นงานอีกฝ่ายหรือ....เฮ่อ ๆ ๆ ตายล่ะ ดูซิเนี่ย หม่อมฉันเกือบจะพลั้งปากสอนองค์หญิงอีกแล้ว ช่างเป็นเด็กที่ขยันใฝ่รู้จริง ๆ จนหม่อมฉันเกือบใจอ่อนสอนให้ซะแล้ว ขอทูลลา”

องครักษ์คนหนึ่งบอกกับซกพุงว่าหากญัตตินี้ผ่านความเห็นชอบจริง บ้านของซกพุงก็ได้รับประโยชน์

“แต่มันเป็นกลลวง ที่องค์หญิงจะทำลายฐานอำนาจของท่านมีซิล แค่นี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือ” ซกพุง กล่าว

“แต่ว่า คราวก่อนเราสองคน ต่างก็ขาดทุนเพราะเรื่องตุนสินค้าไปเยอะ...สำหรับพวกขุนนางแทบไม่กระเทือนอะไรเลย แต่กับพวกเรา เท่ากับได้ชดเชยในสิ่งที่สูญเสีย...ข้าคง ไม่ได้พูดอะไรผิดใช่ไหม”

“ข้าไม่อยากเถียงกับเจ้า แต่ขอให้ระวังคำพูดหน่อย ที่พวกเรามีฐานะอย่างทุกวันนี้ ก็เพราะบารมีของท่านมีซิลคุ้มหัว จงอย่าลืมซะ”

“ท่านซกพุง ๆ ช่างดื้อจริง ๆ”

พวกขุนนางระดับล่างที่ไปสังเกตการประชุม ได้รวมตัวอยู่นอกวังเพราะไม่พอใจมติที่ประชุมขุนนาง

“มองในแง่จุดยืนของพวกเขาก็ไม่ แปลก” มีซิล กล่าวกับพวกลูกน้อง

“จะมาเปลี่ยนง่าย ๆ ได้ไงครับ การลงมติเป็นเอกฉันท์เป็นธรรมเนียมมาตั้ง 700 ปี แล้วนางเป็นใครนึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้หรือ” ฮาจอง กล่าว

“ไม่หรอก กฎข้อนี้ช้าเร็วก็ต้องแก้ใหม่ จริง ๆ แล้ว ทุกวันนี้เราไม่จำเป็นต้องมีสภาขุนนางด้วยซ้ำ”

“ท่านเซจู”

“อะไรนะ ไม่จำเป็นต้องมีหรือครับ นี่มันหมายความว่าไงน่ะ”

“ใช่ อีกหน่อยถ้าข้าบรรลุเป้าหมายจริง อันดับแรกที่จะปลดก็คือสภาขุนนางนี่แหละ ....แต่ว่า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา”

คุณชายชุนชู เสนอให้ยกเลิกสภาขุนนาง ซึ่งองค์หญิงต๊อกมานก็มีความคิดเห็นเหมือนกัน

“แต่ว่า นี่เป็นสภาที่อยู่คู่บ้านเมืองมา 700 ปีแล้ว จะยกเลิกได้หรือพ่ะย่ะค่ะ” ไอชอง ทูล

“วันนี้ไป สิ่งรอบข้างของเราจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอด เพราะฉะนั้น ไม่ว่ายังไง คงต้องเปลี่ยนค่านิยมบางอย่างทิ้งไป แต่ต้องทำอย่างรอบคอบ....ตอนนี้แคว้นชิลลา ต้องการผู้นำที่เด็ดเดี่ยว และมีวิสัยทัศน์กว้างไกล” องค์หญิงต๊อกมาน ตรัส

มีซิลสั่งให้ซอวอนคิดแผนขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นแผนการที่ต่ำช้าและเลวร้ายมาก ด้านมีเซ็งสอบถามมีซิลว่าจะเดินหน้าต่อหรือไม่

“ทำไมหรือ เจ้าไม่ชอบในสิ่งที่ข้าทำหรือไง” มีซิล ถาม

“หึ ๆ มันก็ไม่เกี่ยวกับชอบหรือไม่ชอบหรอก เพียงแต่....”

“เพียงแต่....”

“ไม่เหมือนปกติวิสัยที่ท่านเคยเป็นมาน่ะสิ....ทุกวันนี้ไม่ว่าใครจะวิพากษ์วิจารณ์ยังไง ข้ายังเชื่อว่าผลงานของท่านจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ แต่ว่าถ้ายังยืนกราน ไม่แน่สิ่งที่สร้างมาอาจจะพังทลายหมด”

“มันก็อาจเป็นอย่างงั้น”

“คนนอกอาจจะไม่เข้าใจท่าน หรือเกรงในบารมีก็ช่าง แต่จนถึงวันนี้ ท่านไม่เคยทำสิ่งที่ผิดต่อมโนธรรมของตัวเองไม่ใช่หรือ...แต่ว่า เรื่องนี้ ข้ารู้สึกถึงความไม่ถูกต้อง” มีเซ็ง กล่าว

“ไม่หรอก ครั้งหนึ่ง ข้าเคยทำสิ่งที่ผิดต่อมโนธรรมตัวเองเหมือนกัน...ซาตาฮัม ความรักที่มีต่อเขา จนคิดจะหนีตามไป ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง...นั่นคือสิ่งที่ผิดต่อมโนธรรมของข้าอย่างมาก ใช่ และตั้งแต่นั้น ข้า...จะไม่ทำสิ่งที่ไม่ผ่านการทบทวนอย่างหนัก”

“แล้วทำไม มาวันนี้กลับจะทำเรื่อง อย่างงั้นล่ะ”

“ความรู้สึก...เช่นเดียวกับสมัยก่อน ด้วยความรักที่มีต่อซาตาฮัม ทำให้ข้าหลีกเลี่ยงไม่ได้”

“ความรู้สึก...ในตอนนั้นคือ...”

“ข้าจำเป็น...ต้องละทิ้งความรัก เพื่ออุดมการณ์ที่หวังไว้ เหมือนที่เคยตัดใจ...ละทิ้งคนรัก เพื่ออนาคตอันรุ่งเรืองมากกว่า ก็แค่นี้แหละ” มีซิล กล่าว

องค์หญิงต๊อกมานให้คิมยูซินไปตาม จูจิน ที่เป็นพ่อขององครักษ์พีทันและวังยุน เข้าเฝ้า

“ท่านยูซินเล่าให้ข้าฟังหมดแล้ว พวกท่านเข้าใจในสิ่งที่ข้าทำ ต้องขอขอบคุณมาก”

“องค์หญิงรับสั่งเกินไปแล้ว เราต่างหากที่ต้องขอบพระทัย”

“นั่นสิพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงทรงให้ความเป็นธรรมแก่ขุนนางระดับกลางอย่างเรา ถือเป็นพระเมตตายิ่งนัก”

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ถ้ามีพวกท่านเป็นแบบอย่าง ต่อไปงานของข้าคงจะง่ายขึ้น รวมถึง จะได้ปรับเปลี่ยนสภาขุนนางด้วย”

“อึม....”

“ทุกวันนี้สภาขุนนาง มักเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง มากกว่าจะเห็นแก่บ้านเมือง ต่อไป ข้ายังต้องให้พวกท่านช่วยอีกหลายอย่างนัก”

“พ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”

จูจินนำเรื่องที่ได้เข้าเฝ้าองค์หญิงต๊อกมาน มาเล่าให้เซจองรู้

“คิดจะเปลี่ยนสภาขุนนางหรือ” เซจอง ถาม

“ใช่ครับ ซ้ำยังว่าขุนนางที่ห่วงแต่ตัวเอง สมควรจะถูกถอดถอนทั้งหมด”

“ท่านจูจิน รู้แล้วใช่ไหม นี่คือแผนที่องค์หญิง จงใจนำมาเป็นข้อต่อรอง เพื่อให้พวกเราเกิดความแตกแยก....ท่านต้องหนักแน่นไว้ อย่าหลงกลนางล่ะ”
“เรื่องหลงกลคงจะไม่หรอก อย่างมากก็แค่แลกด้วยชีวิตเท่านั้น”

“อย่าพูดอย่างงั้นสิ ท่านอยู่เมืองซังจู ปกครองทหารซึ่งมีหน้าที่ปกป้องเมืองหลวงของเรา ควรแล้วหรือ....ที่จะเห็นคนนอกสำคัญกว่าน่ะ”

“ยังไงข้าก็เชื่อท่านคนเดียวเท่านั้น” จูจิน กล่าว

มีซิลเดินทางมาหายอจงด้วยตนเองจนทำให้ยอจงถึงกับประหลาดใจ

“เราสองคน....แม้จะเพิ่งเจอหน้า แต่ข้าก็รู้วีรกรรมของท่าน ได้ยินว่าหลายเดือนนี้ช่วยเราทำงานไม่น้อย”

“ข้าจะมีปัญญาช่วยอะไรท่านได้ครับ นอกจากเอาความรู้ที่ไปอยู่ต่างเมืองมาเล่าให้ท่านมีเซ็งฟังก็เท่านั้น”

“ข้าถึงชื่นชมท่านนัก เพราะเป็นคนที่รู้กาลเทศะและทำงานเก่ง ยังไงต่อแต่นี้ หวังว่าเราจะร่วมงานกันด้วยดีล่ะ” มีซิล กล่าว

“แหม....ท่านพูดแบบนี้ ข้าก็ตื้นตันมากแล้ว คือ....ไม่ทราบว่าท่านมีซิลมีอะไรจะให้รับใช้”

“ได้ยินว่าท่านสนิทกับพีดัมมากใช่ไหม”

“เอ่อ....”

“อีกสองวันพยายามชักชวนเขาไปเที่ยวในที่ที่ห่างไกลจากเมืองหลวง อย่าเพิ่งให้กลับมาตอนนี้ได้ไหม”

“จะให้เขา....ไปเที่ยวหรือครับ”

“ท่านฟังไม่ผิดหรอก หาที่ที่ทิวทัศน์ สวยงาม ให้เขาพักผ่อนซัก 2-3 วันแล้วค่อยกลับมา”

“เอ่อ...แต่...แต่ถ้าเขา...ไม่ยอมไปกับ ข้าน้อยล่ะครับ”

“ไม่ยอมไป ก็ใช้กำลังพาเขาไปให้ได้” มีซิล กล่าว

ซอวอนได้มาหายองชุนที่บ้านพัก

“ท่านจะพูดอะไรกันแน่ โปรดอย่าอ้อมค้อมได้ไหม”

“คุณชายชุนชู เป็นลูกพี่ชายท่าน จึงมีศักดิ์เท่ากับเป็นหลานอา รวมถึง....ยังเกี่ยวดองเป็นหลานเขยข้าอีกต่างหาก”

“แล้วยังไง ท่านจะมาพูดอะไรกับข้าอีก” ยองชุน ถาม

“ความจริงคุณชายชุนชูกับฝ่ายเรามีความเกี่ยวพันก็ดีแล้ว แต่กลับทำให้ข้าวางตัวลำบากนัก”

“เพราะปัญหาระหว่างท่านกับท่านเซจองใช่ไหม”

“ใช่ ข้าบอกแล้วว่าไม่ได้ผูกมัดเขา แต่ ท่านเซจองก็ไม่ยอมเชื่อ...ท่านยองชุน ข้าอยากรู้ว่าท่าน...ใจจริงก็อยากให้คุณชายชุนชูเป็นพระราชาองค์ต่อไปหรือเปล่า”

“ความหมายของท่านคือ...อะไรกันแน่”

“เราสองคน....จำต้องลงเรือลำเดียวกัน เพราะเหตุการณ์บังคับไม่ใช่หรือ”

ด้านฮาจองก็เดินทางมาหาคิมซอยอนเพื่อ ตีสนิท โดยอาศัยลูกสาวที่ได้มาเป็นสะใภ้บ้านสกุลคิม ส่วนยอจงก็มาหาพีดัมเพื่อชวนออกไปเที่ยว หาเหล้าดื่มโดยใส่ยานอนหลับผสมในเหล้าทำให้พีดัมหลับไปโดยไม่รู้ตัวและโดนยอจงจับมัดเชือกไว้

เมื่อซอวอนเดินทางกลับมา มีซิลก็รีบสอบถามเรื่องไปพบยองชุน สำเร็จหรือไม่

“ใช่ สำเร็จแล้ว”

“ของสิ่งนั้น เอากลับมาด้วยหรือเปล่า”

“สามารถเอากลับมาได้ก็จริง แต่ว่า ท่านจะ เอาไปทำไม”

“ดีมาก มาให้ข้าเร็ว” มีซิล กล่าว

“ท่านเซจู....ข้าพยายามจะเข้าใจในสิ่งที่ท่านทำ ถึงได้ยอมช่วยเหลือ แต่ว่า เรื่องนี้ไม่เห็นจะเข้าใจซักนิด ทำไมต้องเป็น....”

“ที่ข้าต้องการของสิ่งนี้ก็เพราะ....ต้องการท่านซอวอนคนเดิมกลับมา และช่วยคลี่คลายความกลัดกลุ้มของท่านด้วย”

“แต่ว่า ทำไมต้องให้ข้าเอามันมาในเวลานี้ด้วย”

“เพื่อที่ว่า จะได้ช่วยให้ข้าสบายใจขึ้น”

“ข้าไม่เข้าใจความหมายของท่าน”

“สิ่งที่เรากำลังจะทำ ห้ามมีคำว่าล้มเหลว เด็ดขาด”

“หมายความว่า....”

“ใช่ นั่นก็คือพีดัม”

ด้านยองชุนและคิมซอยอน ก็ถูกวางยาในเหล้าเช่นกัน ทำให้ทั้งสองหลับไม่ได้สติ เช้าวันรุ่งขึ้น องครักษ์ของเซจองได้นำหมายเรียกประชุมไปให้ที่บ้าน เมื่อเห็นทั้งสองยังไม่ตื่น จึงให้พ่อบ้าน และฮูหยินคิมเป็นคนเซ็นรับและประทับตราให้ หลังจากทั้งสองตื่นขึ้นมาจึงรู้ว่ามีหมายเรียกเข้าประชุม เพื่อลงมติลิดรอนอำนาจขององค์หญิงต๊อกมานเพื่อไม่ให้ยุ่งกับการบริหาร ทั้งสองตกใจมากจึงรีบแต่งตัวเพื่อเดินทางไปเข้าร่วมประชุมทันที

ด้านพีดัมเมื่อตื่นขึ้นมาก็โวยวายกับ ยอจง

“เอ่อ...เจ้าอย่าเพิ่งโวยวายได้ไหม ตอน นี้ข้ารู้สึกสับสนไปหมดแล้ว”

“แก้มัดให้ข้าเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่อยากตายละก็ บอกให้แก้มัดให้ข้าเร็ว เร็วซี่”

“เดี๋ยวก่อน ๆ หึ....อย่าเพิ่งโมโหได้ไหม คือ....ขอข้าตั้งสติซักนิดเถอะนะ หึ....”

“เจ้านี่ ดูท่าจะเบื่อชีวิตซะแล้วใช่ไหม มัดขาข้าด้วยหมายความว่าไง หา....”

“ก็บอกว่าใจเย็น ๆ อย่าโมโหไง ใจเย็นก่อน”

“มาสิ มาใกล้ ๆ ข้า แน่จริงก็มาเลย ดูซิข้าจะทำอะไรเจ้าบ้าง มาใกล้ ๆ ข้าเร็ว กล้าหรือเปล่า”

เมื่อถึงเวลาประชุม คิมซอยอน และ ยองชุน ยังเดินทางมาไม่ถึง

“นี่มันเวลาไหน ยังมีคนขาดอีกหรือ” เซจอง กล่าว

“ท่านยองชุนกับท่านซอยอน ยังไม่มาเลยครับ”

“แต่เลยเวลาไปมากแล้วนี่นา ในเมื่อส่วนใหญ่มากันพร้อม งั้นก็ประชุมไปก่อนละกัน” ฮาจอง เสนอ

“อะไรนะ การประชุมแบบนี้ต้องอาศัยมติเป็นเอกฉันท์ในการลงความเห็นไม่ใช่หรือ”

“ใช่ ท่านพูดก็ถูก ต้องใช้มติเป็นเอก ฉันท์จริง ๆ ใครบอกว่าถ้ามีเสียงคัดค้านแล้วเรายังจะดึงดันอีก” มีเซ็ง กล่าว

“ถ้าอย่างงั้น ตอนนี้ท่านยองชุนกับ ท่านซอยอนยังไม่มา แล้วเราจะประชุมได้ยังไง” ขุนนางคนหนึ่งกล่าว

“ตอนนี้ก็มีขุนนางผู้ใหญ่ 8 คนอยู่กันพร้อมหน้า ขอเพียงพวกเราทุกคน ลงมติเห็นชอบก็พอแล้วนี่” เซจอง กล่าว





..............จบตอนที่ 44.............